LIFE OF CHRIST
BANGKOK:
A. B. C. F. M. MISSION PRESS
1841.


คริสตธรรม[𝓣]
เรื่อง กิจการแห่งพระเยซู

คำปรารภ การจัดทำ[1]

หมอปรัดเล[2]ผู้แต่งหนังสือนี้ ปรารถนาจะให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจก่อน ว่าเรื่องราวนี้เราคัดออกจากหนังสือพระเยซูคริสต์ บุตรพระยิโฮวะเจ้า เดิมนั้นลูกศิษย์พระเยซูสี่คนเกิดทันพระเยซู ได้เขียนเรื่องพระเยซูไว้ก่อนคนทั้งปวง ศิษย์นั้นชื่อมัดธายคน ๑ มาระโกคน ๑ ลูกาคน ๑ โยฮันคน ๑ ฝ่ายมัดธายกับโยฮันนั้น อยู่ในพวกศิษย์ผู้เป็นประธาน ๑๒ คน ที่พระเยซูได้เลือกสรรไว้ใช้สอย ได้ติดตามพระองค์ไปทุกๆ วัน เขาได้เห็นการอัศจรรย์ ที่พระองค์กระทำ แลได้ยินถ้อยคำที่พระองค์ตรัสสั่งสอนทุกประการ แต่มาระโกกับลูกาสองคนนั้น เป็นศิษย์นอกจากศิษย์ ๑๒ คนนั้น แต่ว่าได้รู้เหตุการณ์ทั้งปวงแห่งพระเยซูด้วย ครั้นพระเยซูกลับเป็นขึ้นไปสู่สวรรค์แล้ว อยู่มาหน่อย[3]หนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าดลใจศิษย์ทั้งสี่คนนั้นให้เขียนเรื่องพระเยซูไว้คนละฉบับต่าง ๆ กัน ตามที่ตนได้เห็นและได้ฟัง เขาไม่ได้ประชุมปรึกษากัน ไม่ได้เขียนคราวเดียวพร้อมกัน เขียนก่อนกันบ้าง เขียนทีหลังกันบ้าง เนื้อความนั้นลำดับไม่เสมือนกัน แต่ว่าเนื้อความอันเดียวกันไม่ผิดกัน เพราะพระวิญญาณเข้าดลใจ ไม่ให้เคลื่อนคลาดสักนิดเลย เราได้คัดออกจากฉบับทั้งสี่นั้น ย่นเนื้อความไว้แต่น้อย ถูกต้องตามลำดับที่พระเยซูสำแดง แลสั่งสอนไว้นั้น เมื่อเราคัดออกนั้น ลางทีก็ถูกตามถ้อยคำในฉบับเดิม ลางทีก็คัดเอาแต่ใจความ ไม่ได้แกล้งให้ผิดจากเนื้อความในฉบับเดิมสักนิดเลย เราแปลย่นความไว้เช่นนี้ด้วยคิดว่า ถ้าจะแปลออกให้หมดนั้น เห็นมากมายเหลือกำลังทุนทรัพย์ที่จะใช้สอย ต่อภายหน้าเมื่อพวกเราได้ทรัพย์เข้ามาบริบูรณ์แล้ว พวกเราจึงจะแปลเรื่องพระเยซูออกให้หมดสิ้น แจกแก่คนทั้งปวง

เมื่อจุลศักราช ๑๒๐๐ ปี ชวด โทศก วันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ


ส่วนท้ายของหนังสือ

เราผู้แต่งหนังสือนี้, ขออ้อนวอนมากับท่านผู้อ่าน ผู้ฟัง, ให้อุตส่าห์อ่านเรื่องพระเยซูนี้, แลให้เอาใจใส่ในคำพระเยซูสั่งสอนนั้น, ให้หยั่งลงในใจให้ลึก, อย่าลืมเลยประมาท. จงประพฤติทำตามทุกสิ่งทุกประการ. จึงจะได้พระเยซูช่วยยกโทษ, ให้อันตรธานสิ้นสูญไป, ไม่ติดตามไปได้. ไม่เป็นอันตรายแก่จิตวิญญาณ. ไม่พาตัวไปนรกเลย. ถึงตายเมื่อไร, พระองค์จะให้ไปสู่สวรรค์เมื่อนั้น.

ถ้าท่านรู้เรื่องราวนี้แล้ว, ไม่เชื่อ, ไม่ประพฤติตามก็คงมีโทษมาก. เหมือนคนที่พระเยซูเจ้ามาโปรด, ให้พ้นจากนรก. แลผู้นั้นไม่ชอบใจ, ก็กลับหลังให้พระองค์, แลดูหมิ่น. เปรียบเหมือนพระเจ้าเหาะลงมาจากสวรรค์ ประจักษ์แก่ตาคนทั้งปวง, แลตรัสเป็นบัญญัติให้คนทั้งปวงฟัง คนทั้งปวงก็ไม่ชอบใจ. ก็กลับหลังให้พระองค์บ้าง. ประมาทดูหมิ่นบ้าง. ไขหูเสียไม่อยากฟังบ้าง. คนที่ทำเช่นนี้, มิเป็นบาปหนักหรือ. บุคคลทั้งปวงที่ไม่เชื่อฟังเรื่องราว, แลคำสั่งสอนแห่งพระเยซู, ก็มีบาปโทษเหมือนกัน. ขอท่านทั้งหลายจงระมัดระวังจงดี, อย่าให้มีบาปโทษเช่นนั้นเลย. อย่าลืมละผู้ลงมาจากสวรรค์, จะช่วยท่านให้พ้นจากโทษ. ให้กลับชั่วเป็นดีใจบริสุทธิ. ให้พระวิญญาณมาดลใจ, ให้มีความสุขสบายหนัก. แล้วให้ไปสู่สวรรค์ ตั้งอยู่ในที่เป็นน้องของพระเยซูเจ้า, ล้วนแต่บรมสุขชั่วกัปชัวกัลป์. ท่านทั้งหลายจงเชื่อถือในพระเยซู, ให้เลื่อมใสศรัทธาในพระองค์ โดยเร็วในวันนี้. อย่าเนิ่นช้าไปเลย, กลัวจะไม่ได้พ้นโทษนรก.

จงรู้เถิดว่า, นอกแต่พระเยซูออกไปแล้ว, ไม่มีผู้ใด, ไม่มีสิ่งใด, ที่จะช่วยให้บาปกรรมสิ้นสูญไปไม่มีเลย. ถ้าผู้ใดทำบุญอันใดอันหนึ่ง, ถ้าไม่ถูกไม่ต้องกับคำพระเยซูสั่งสอน, ก็เป็นแต่สูญเสียเปล่า. ถึงมาดแม้นเราท่านทั้งหลาย, จะเอาเงินไปแจกให้ทานแก่คนจนทั้งหลายหมดก็ดี, แลเอาเงินเป็นอันมากเหลือที่จะนับ, ไปทำทานก็ดี, แม้นเราท่านทั้งหลายถือบวชครัดเคร่งจนวันตายก็ดี, ถึงจะเอาตัวของเราเผาไฟบูชา[3]ประการใดก็ดี, ถ้าแลตัวเราท่านไม่ได้ตั้งใจเสียใหม่, แลรักษ[3]ใคร่ในพระเยซูด้วยสุดใจ, แลเข้ารีดเป็นศิษย์ปรนนิบัติตามพระองค์ทุกวัน ๆ , ก็จะไม่มีสิ่งอันใดเป็นผลเป็นประโยชน์ที่จะเอาตัวรอดจากโทษได้เลย.

แม้นท่านได้หนังสือนี้ไปแล้ว, จงอุตส่าห์อ่านทุกวัน ๆ . เมื่อเวลาไม่อ่านก็ให้เก็บไว้ในหีบที่หนูแลแมงสาบเข้าไปกัดไม่ได้. ถ้าเอาไว้ข้างนอก, ตัวสัตว์จะกัดเสียแท้. ขอให้ท่านอุตส่าห์อ่านอุตส่าห์เล่า, ให้คนอื่นทั้งปวงฟังเรื่องนี้ด้วย, จะเป็นคุณเป็นประโยชน์มาก. ขอเชิญท่านทั้งปวงมาหาเรา, ที่บ้านพวกหมออาศัยอยู่, ตรงหน้าวัดประยุรวงศาวาส, ของเจ้าคุณพระคลัง. ถ้ามีความสงสัยเชิญท่านมาไต่ถามเรา. เราปรารถนาจะแก้ไขแก่ท่านทั้งปวงให้เห็นแจ้งแล.

(เดิมฉบับหนังสือนี้คงมีแนบแผนที่) แผนนี้สำแดงประเทศคานาน. ที่กะเป็นระยะ ๆ ไว้รอบนั้น, คือกำหนดโยชน์, ระยะละโยชน์. เส้น ๓ เส้นนั้น, คือฝั่งทะเล. เส้นเดียวข้างหนึ่ง, คือแม่น้ำ. เส้นลากเป็นเม็ดไข่ปลานั้น, บอกแดนเมือง. ที่จด(จรด)กลม ๆ นั้น, คือเมืองเล็ก. ที่เป็นสี่เหลื่อมคือเมืองใหญ่. ประเทศคานานนี้, ตั้งอยู่ทางทิศเหนือถัดแต่เมือง[4]อะหรอบไป.

[5]โดย หมอปรัดเล ตีพิมพ์ ๑๕๐๐ ฉบับ
กูเกิลบุ๊ค กูเกิลเสิร์ชเอนจิน
หนังสือนี้ เป็นเรื่องกิจการแห่งพระเยซูเจ้า[5]


บทที่ ๑บทที่ ๒บทที่ ๓บทที่ ๔บทที่ ๕บทที่ ๖บทที่ ๗บทที่ ๘บทที่ ๙บทที่ ๑๐บทที่ ๑๑บทที่ ๑๒บทที่ ๑๓บทที่ ๑๔บทที่ ๑๕บทที่ ๑๖บทที่ ๑๗บทที่ ๑๘บทที่ ๑๙บทที่ ๒๐บทที่ ๒๑บทที่ ๒๒บทที่ ๒๓บทที่ ๒๔บทที่ ๒๕บทที่ ๒๖บทที่ ๒๗บทที่ ๒๘บทที่ ๒๙บทที่ ๓๐บทที่ ๓๑บทที่ ๓๒บทที่ ๓๓บทที่ ๓๔บทที่ ๓๕บทที่ ๓๖บทที่ ๓๗บทที่ ๓๘บทที่ ๓๙บทที่ ๔๐บทที่ ๔๑บทที่ ๔๒



LIFE OF CHRIST
BANGKOK:
A. B. C. F. M. MISSION PRESS
1841.

บทที่ ๑
เรื่อง กิจการแห่งพระเยซูเจ้า

เมื่อเดิมแรกแผ่นดินโลก[6]นี้ แลสวรรค์แลโลกอื่นทั้งปวงยังไม่มีนั้น พระเยซูเจ้าอยู่กับพระบิดาเจ้า ประกอบไปด้วยบรมสุขสติปัญญาญาณเป็นที่สุด ในเดิมนั้นพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงแท้ ตั้งอยู่กับพระบิดาเจ้าไม่มีที่สุดเหมือนกัน พระเยซูนั้นก็ได้สร้างซึ่งสิ่งสรรพทั้งปวงด้วยสิ้น สิ่งอันใดที่พระเยซูเจ้าจะไม่ได้สร้างนั้นหามิได้ คือสวรรค์ โลกมนุษยโลก ทุกกัลป์ ๆ ในอดีตตลอดลงมาตราบเท่าจนถึงทุกวันนี้ อันองค์พระเยซูเจ้านั้น มีชีวิตตลอดไม่มีที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายหามิได้ ได้เป็นเจ้าชีวิตแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง คือชีวิตทูตสวรรค์พวกเทวดาทั้งปวง มนุษย์แลสัตว์เดรัจฉานทั้งปวง อยู่ในอานุภาพฤทธิแห่งพระเยซูเจ้า ดำรงอยู่ได้โดยอานุภาพฤทธิพระองค์สิ้นทั้งนั้น อันชีวิต[7]พระองค์นั้น อุปมาเหมือนสว่างแห่งดวงอาทิตย์ สำหรับให้มนุษย์อยู่สว่างเป็นสุขสบาย อันสติปัญญาทูตสวรรค์ แลพวกเทวดา แลพวกมนุษย์ทั้งปวงนั้น เกิดมาจากสติปัญญาพระเยซูทั้งสิ้น ถ้าพระองค์มิได้ให้สติปัญญามากน้อยแก่มนุษย์แล้ว คนทั้งปวงก็โฉดเขลา หาสติปัญญาสักเท่าเม็ดกรวดเม็ดทรายมิได้ อันมนุษย์ทั้งปวงทุกวันนี้ ก็อยู่ในสว่างของพระเยซูเจ้าสิ้น แต่หากว่าคนทั้งปวงหารู้ว่า ตัวอยู่ในสว่างของพระเยซูเจ้าไม่ ด้วยว่าคนทั้งปวงไม่อยากจะรู้คุณพระเยซู เปรียบเหมือนดั่งคนเอามือปิดตาเสีย หาพอใจจะดูสิ่งสรรพทั้งปวงไม่ อันพระเยซูนั้นได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ให้ชาติของพระองค์เจ้านั้น สนิทติดกับชาติมนุษย์ เป็นพระเจ้าแท้ด้วย ด้วยเป็นมนุษย์แท้ด้วย พระองค์ตั้งพระทัยลงมาทรมานตัวแทนโทษมนุษย์แล้ว เหตุฉะนี้ผู้ใดเชื่อถือในพระเจ้าผู้บุตรซึ่งมาแทนนั้น แลประพฤติตามพระองค์ ๆ ก็จะโปรดให้คนผู้นั้นเป็นบุตรพระเจ้าด้วย แลให้พ้นจากโทษ ให้หายบาปขึ้นไปสู่สวรรค์เป็นสุขชั่วกัปชั่วกัลป์


บทที่ ๒

ในขณะนั้นผู้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งก็ลงมาสำแดงตัวในที่เบื้องขวาแท่นบูชา ให้ซะฅาเรียเห็น ครั้นซะฅาเรียเห็นก็สะดุ้งตกใจ ผู้ทูตสวรรค์จึงว่าท่านอย่ากลัวเลย อันความอธิษฐานอ้อนวอนของท่านนั้น พระเจ้าก็ได้ยินรู้สิ้นแล้ว ภรรยาของท่านก็จะมีบุตร ท่านจงให้บุตรนั้นชื่อว่าโยฮัน ตัวท่านจะได้ความโสมนัส แลในกาลที่เกิดบุตรนั้นคนทั้งหลายจะดีใจด้วย เพราะบุตรนั้นจะเป็นใหญ่ในที่คลองพระเนตรพระยิโฮวะเจ้า แลจะประกอบด้วยวิญญาณแห่งพระเจ้าตั้งแต่บังเกิดมา บุตรท่านนั้นจะได้ชักนำพวกอิศระเอลเป็นอันมากให้กลับมาภักดีในพระยิโฮววะเจ้า แลนำหน้าองค์พระเยซูคริสต์ ด้วยจิตใจและอำนาจดั่งเอลียา ผู้ทำนายนั้นแล จะจัดแจงตระเตรียมไพร่พลไว้ สำหรับเป็นศิษย์ของพระเยซูคริสต์ เมื่อพระองค์จะมานั้น ซะฅาเรียตอบแก่ผู้ทูตว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะมีลูก ตามคำที่ท่านว่าเป็นแน่อย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ากับภรรยาเป็นคนชราแล้ว ฝ่ายผู้ทูตสวรรค์จึงว่า ตัวเรานี้ชื่อว่าคาบรีเอล เคยยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าในสวรรค์ เราได้รับสั่งใช้เอาข่าวอันดีประเสริฐนี้มาแจ้งแก่ท่าน นี่แลท่านจะต้องเป็นใบ้พูดไม่ได้กว่าเหตุที่เรามาสำแดงนี้จะสำเร็จ เพราะท่านมิได้เชื่อถือคำของเรา ซึ่งสำเร็จในกาลกำหนดโดยแท้ ตั้งแต่นั้นมา ซะฅาเรีย ก็เป็นใบ้พูดไม่ได้ ครั้นอยู่มาหน่อยหนึ่ง เอลีซาเบด ผู้เป็นภรรยาซะฅาเรีย ก็มีครรภ์ เมื่อมีครรภ์ได้ถึงหกเดือน ขณะนั้นพระเจ้าจึงใช้ให้ผู้ทูตสวรรค์ผู้ชื่อ คาบริเอละ ลงมาในหัวเมืองคาลิลายบ้านนาซาเรดสำแดงตัวแก่นางพรหมจารีชื่อมาเรีย หญิงนั้นมีผู้มาสู่ขอว่ากล่าวไว้ให้แก่โยเซบ ๆ นั้นเป็นเชื้อวงศ์ของพญาดาวิด ผู้เป็นกษัตริย์ในพวกอิศระเอลแต่ก่อน นั้น ฝ่ายผู้ทูตนั้นจึงกล่าวอวยพรแก่มาเรียว่า ท่านผู้ได้พรอันประเสริฐ จงเป็นสุขสำราญเถิด ทุกวันนี้พระยิโฮวะเจ้าได้อยู่ด้วยท่าน ท่านได้บุญลาภในท่ามกลางหญิงอื่นทั้งปวงแล้ว เมื่อมาเรียเห็นผู้ทูตสวรรค์นั้น ก็กลัวไม่สบายใจ ด้วยมีความสงสัยตรึกตรองถึงเหตุที่ทูตมาบอกนั้น ผู้ทูตสวรรค์จึงกล่าวกับมาเรียว่า มาเรียเอ๋ย อย่ากลัวเลย พระเจ้ามีพระทัยกรุณาแก่ท่านแล้ว จงดูเถิดท่านจะเกิดบุตรชายคนหนึ่ง แลท่านจงให้นามแก่บุตรนั้นชื่อว่า เยซู เพราะผู้นั้นจะได้เป็นใหญ่อันประเสริฐ จะเรียกว่าบุตรพระเจ้า ๆ เป็นใหญ่ยิ่งกว่าสรรพสัตว์ทั้งปวง หาผู้จะเสมอมิได้ พระยิโฮวะเจ้าจะได้ยกราชสมบัติของพญาดาวิดให้แก่บุตรท่าน ๆ จะได้เสวยราชในสกุลยาคบ สืบต่อไปชั่วนิรันดร ราชสมบัตินั้นไม่รู้สิ้นเลย ฝ่ายมาเรียจึงถามแก่ผู้ทูตว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงจะมีบุตรเล่า ด้วยตัวข้าพเจ้ายังไม่ได้ร่วมรู้กับบุรุษผู้ใดผู้หนึ่งเลย ผู้ทูตจึงบอกกับมาเรียว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาอยู่เหนือท่าน แลฤทธานุภาพแห่งผู้ใหญ่กว่าสรรพสัตว์ จะมาปกคลุมตัวท่านไว้ เพราะเหตุฉะนี้บุตรที่ท่านจะคลอดนั้น จะทรงนามชื่อว่า พระบุตรแห่งพระเจ้า มาเรียจึงว่าขอให้สมพรของท่านเถิด ว่าเท่านั้นแล้ว ผู้ทูตก็กลับไปสู่สวรรค์ ฝ่ายมาเรียก็ลุกขึ้นจากที่นั่นแล้ว ออกไปหาเอลีซาเบดผู้เป็นญาติ เมื่อเอลีซาเบดได้ยินเสียงมาเรียทักมานั้น ทารกที่อยู่ในครรภ์เอลีซาเบดก็สะดุ้งดิ้น ครั้งนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้าดลใจเอลีซาเบด ให้เอลีซาเบดอวยพระสรรเสริญแก่มาเรียว่า แต่บรรดาพวกหญิงทั้งปวง ท่านแหละได้พรอันประเสริฐ แลทารกที่เกิดในครรภ์แห่งท่านเป็นมหาบุญญาลาภแลที่มารดาแห่งจ้าวของข้าพเจ้า ต้องมาหาข้าพเจ้านี้ เป็นเหตุไฉนหนอ อนึ่งเมื่อเสียงผู้เป็นมารดานั้น ร้องทักมาเข้าโสตข้าพเจ้าแล้ว ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าก็สะดุ้งดิ้นด้วยดีใจ ฝ่ายมาเรียก็กล่าวสรรเสริญพระเจ้าว่า จิตใจ ข้าพเจ้าได้อนุโมทนาสรรเสริญพระยิโฮวะเจ้า แลจิตวิญญาณแห่งข้าพเจ้ายินดีในพระเจ้าผู้ช่วยข้าพเจ้า เพราะพระองค์ท่านเอาพระทัยใส่ในข้าพเจ้า ผู้เป็นหญิงหินชาติทาสของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไปทุกชั่วมนุษย์ ก็จะร้องเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นหญิงจำเริญสวัสดิ์สุข เพราะท่านผู้ทรงฤทธานุภาพอันสูง ได้กระทำการอันใหญ่แก่ข้าพเจ้า ท่านพระองค์นั้นพระทัยซื่อสัตย์บริสุทธิ์ กล่าวสรรเสริญดังนี้แล้วฝ่ายมาเรียก็อยู่ด้วยเอลีซาเบดประมาณสามเดือน แล้วกลับไปบ้านของตน ครั้นเอลีซาเบดมีครรภ์ถ้วนกำหนดแล้ว ก็คลอดบุตรเป็นชาย ฝ่ายผู้เพื่อบ้านของเอลีซาเบด แลพวกญาติพี่น้องทั้งหลาย เมื่อได้ยินว่า พระเจ้าโปรดทรงพระเมตตาใหญ่หลวงแก่นางเอลีซาเบดแล้ว ก็พลอยยินดีด้วยครั้นถ้วนแปดวันแล้ว ซะฅาเรียกับภรรยาก็อุ้มบุตรที่เกิดนั้นไปให้รับศีลสุหนัต แลให้ชื่อด้วย คนอื่นทั้งปวงจะให้ชื่อทารกว่าซะฅาเรียเหมือนชื่อของพ่อ แต่มารดาของทารกนั้นกล่าวว่า อย่าเลยจงเรียกว่าโยฮันเถิด เขาตอบว่าในวงศ์ญาติของท่านไม่มีใครชื่อเช่นนั้นเลย ขณะนั้นซะฅาเรียยังเป็นใบ้พูดไม่ออก คนทั้งปวงจึงกระทำอาการ เป็นสำคัญให้ซะฅาเรียรู้ว่าจะเรียกชื่อบุตรนั้นชื่อไร ฝ่ายซะฅาเรียทำอาการบอกใบ้ ขอโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็เขียนว่า ให้ชื่อมันชื่อโยฮันเถิด คนทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจ ในขณะนั้น ซะฅาเรียก็หายจากเป็นใบ้ พูดจาได้เป็นปกติ แล้วกล่าวคำสรรเสริญพระเจ้า ฝ่ายคนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านล้อมรอบนั้น ได้เห็นได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ยำเกรงในพระเจ้านัก กิตติศัพท์อันนี้ก็เลื่องลือไปทั่วเมืองยูดาย ฝูงคนทั้งปวงได้ยินก็ไตรตรา[8]ไต่ถามกันว่า ทารกนี้จะเป็นฉันใดหนอ แลส่วนโยฮันนั้นพระหัตถ์แห่งพระยิโฮวะกุมอยู่ โยฮันก็ค่อยเจริญวัยขึ้น ก็มีสติปัญญาหลักแหลมนัก


บทที่ ๓

ครั้นอยู่มานางพรหมจารีชื่อมาเรีย ก็มีครรภ์ด้วยฤทธานุภาพพระเจ้า สมดังคำผู้ทูตที่ว่าไว้แต่ก่อน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็มาบันดาลให้มาเรียมีครรภ์ ก่อนอยู่กับโยเซบ ผู้เป็นสามี เหตุฉะนี้พระเยซูจึงทรงพระนามชื่อว่า พระบุตรแห่งพระเจ้า ครั้นโยเซบรู้ว่า มาเรียผู้ที่ให้ว่าสู่ขอไว้นั้นมีครรภ์แล้ว ก็เฉลียวจิตอยู่แต่ในใจของตัวว่า เราจะไม่เอาหญิงคนนี้เป็นภรรยาแล้ว จะไม่ไปทำการวิวาหะมงคลตามที่นัดไว้นั้น โยเซบเป็นคนสัตย์ซื่อคิดว่าจะทิ้งมาเรียเสีย ไม่ให้ความแห่งมาเรียนั้นแพร่งพรายไปได้ จึงนิ่งเสียมิให้ผู้ใดรู้ ขณะเมื่อโยเซบคิดรำพึงดังนั้นก็ไม่สบายใจเลย แล้วก็นอนหลับไป ฝ่ายผู้ทูตสวรรค์ก็ลงมาเข้าฝัน บอกความแก่โยเซบว่า โยเซบผู้เป็นบุตรพญาดาวิดเอ๋ย ท่านอย่าวิตกเลย จงรับเอามาเรียไว้เป็นภรรยาของตัวเถิด อันทารกที่อยู่ในครรภ์นั้น หากมาเกิดด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อมาเรียคลอดบุตรแล้ว ท่านจงให้บุตรนั้นชื่อว่าเยซูเถิด เพราะเหตุผู้นั้นจะช่วยให้ไพร่พลแห่งพระองค์ให้พ้นจากโทษ เหตุเช่นว่ามานี้ก็ถูกต้องกับคำพระยิโฮวะเจ้า ที่ตรัสไว้แก่ผู้ทำนายแต่ก่อนนั้นว่า นี่แหละหญิงสาวพรหมจารีผู้หนึ่งจะมีครรภ์ จะคลอดบุตรเป็นชายผู้หนึ่ง แปลว่าพระเจ้าอยู่กับเรา ครั้นโยเซบได้แจ้งในความฝันดังนั้นก็เชื่อถือตามเหมือนพระเจ้าสั่ง จึงรับเอามาเรียมาเป็นภรรยา แต่ว่าหญิงนั้นกับโยเซบมิได้ร่วมรู้กันเลย อยู่ไปจนมาเรียคลอดบุตรหัวปี แลได้เรียกนามชื่อว่า เยซู

ในครั้งนั้นมีกฎหมายในแว่นแคว้นอิศระเอลทั้งปวงให้ชาวเมืองไปยื่นบัญชีสำมะโนครัว ชาวเมืองทั้งปวงก็ไปยื่น ตามภูมิลำเนาทุกตำบล ฝ่ายโยเซบกับมาเรียผู้เป็นภรรยา ก็ขึ้นจากหัวเมืองคาลิลาย บ้านนาซาเรด ไปสู่หัวเมืองยูดายบ้านเบดเลียม เป็นที่เกิดแห่งกษัตริย์ชื่อดาวิด โยเซบกับมาเรียเป็นสกุลดาวิด จึงพากันไปยื่นบัญชีสำมะโนครัว ในบ้านเบดเลียมนั้น ขณะเมื่อผัวเมียทั้งสองไปยับยั้งอยู่ในบ้านนั้น ก็พอถึงกำหนดมาเรียจะคลอดบุตร คนทั้งสองก็พากันไปอาศัยอยู่ในโรงโค เพราะไม่มีที่อาศัยในโรงรับแขกที่บ้านนั้น ฝ่ายมาเรียก็คลอดบุตรหัวปีในโรงโคนั้น จึงเอาผ้าอ้อมห่อพันบุตรเข้าแล้ว เอาไปวางไว้ในรางโค
ขณะนั้นมีคนเลี้ยงแกะพวกหนึ่ง เลี้ยงฝูงแกะอยู่ที่ทุ่งนานอกบ้านนั้น เขาพากันเฝ้าฝูงแกะอยู่ที่นั่น ในเพลากลางคืนวันนั้น พวกคนเลี้ยงแกะนั้นเงยหน้าแลดูขึ้นไปในอากาศ ได้เห็นผู้ทูตพระยิโฮวะเจ้า เหาะลงมาลอยอยู่ตรงหน้า และได้เห็นรัศมีของพระเจ้า ส่องสว่างไปในที่รอบคอบนั้น เขาก็มีความกลัวยิ่งนัก ฝ่ายผู้ทูตจึงว่าแก่เขาว่า ท่านทั้งปวงอย่าวิตกเลย เหตุทั้งนี้เพราะเรานำเอาข้อความสวัสดิมงคล เป็นที่ชื่นใจสำหรับพลเมืองทุกประเทศ มาแจ้งให้ท่านทั้งปวงฟัง คือในเพลาวันนี้ ในเมืองของดาวิดมีผู้บังเกิดมา ผู้นั้นเป็นที่พระยิโฮวะชะโลมชุบย้อมไว้ให้ไถ่โทษมนุษย์ทั้งปวง อันสำคัญที่ท่านจะได้รู้จักทารกนั้น คือท่านจะได้พบทารกอันอ่อน มีผ้าอ้อมห่อพันกาย นอนอยู่ในที่สำหรับโคกินอาหาร ขณะนั้นผู้ทูตสวรรค์เป็นอันมาก ก็เหาะลงมาเลื่อนลอยอยู่กลางอากาศสรรเสริญแก่พระเจ้าว่า รัศมีอันรุ่งเรืองมากกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงหมด จงมีแก่พระเจ้าผู้เป็นที่ล้นพ้น ให้บังเกิดความสุขเหนือแผ่นดินโลก แลให้ความเมตตากรุณาเกิดจำเพาะแก่มนุษย์ทั้งปวงเถิด แล้วผู้ทูตสวรรค์ก็เหาะกลับไปสู่สวรรค์ ครั้งนั้นพวกเลี้ยงแกะได้เห็น ก็ประหลาดใจนัก พูดชักชวนกันว่า พวกเราจงไปให้ถึงบ้านเบดเลียม ดูเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นในที่นั่น ตามพระยิโฮววะสำแดงแก่เรา ว่าแล้วก็พากันเข้าโดยเร็วถึงโรงโคนั้น ก็ได้พบเห็นมาเรียกับโยเซบ แต่ทารกอ่อนนั้นนอนอยู่ในรางโค ก็เหมือนคำผู้ทูตว่าไว้ พวกเลี้ยงแกะจึงร้องประกาศให้คนทั้งปวงรู้ด้วยคำผู้ทูตนั้นมาสำแดงแจ้งความไว้แก่ตัว ทุกสิ่งที่ตัวได้เห็นได้ฟังนั้น ฝ่ายชาวบ้านทั้งหลาย ครั้นได้ยินเสียงประกาศข่าวดังนั้นก็ประหลาดใจ ฝ่ายเหล่าพวกเลี้ยงแกะ ก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน มีความชื่นชมยินดีนัก ต่างคนต่างสรรเสริญพระเจ้า เพราะตนได้ยินได้เห็นเหตุทั้งปวงนั้น

ครั้นพระเยซูเกิดได้แปดวัน บิดามารดาก็ให้รับศีลสุหนัตตามธรรมเนียมพวกอิศระเอล แล้วให้ชื่อว่าเยซูต้องตามคำทูตสวรรค์สั่งไว้ เมื่อพระเยซูได้ประมาณสี่สิบวัน บิดามารดาก็พาไปสู่กรุงยรูซาเลม เข้าไปในวิหารมอบตัวพระเยซูถวายแก่พระยิโฮวะเจ้า ตามธรรมเนียมที่พระเจ้าตั้งไว้แก่พวกอิศระเอลว่า ลูกชายหัวปีให้ถวายเป็นส่วนของพระเจ้า


บทที่ ๔

อันบ้านเบดเลียมที่พระเยซูบังเกิดนั้น เป็นแว่นแคว้นหัวเมืองยูดาย พญาเฮโรดได้เป็นเจ้าเมืองนั้น ขณะเมื่อวันพระเยซูบังเกิดนั้น ก็บังเกิดอัศจรรย์ ปรากฏ มีดวงดาวเลื่อนลอยอยู่บนอากาศข้างทิศตะวันออก ฝ่ายพวกโหราซึ่งอยู่ในเมืองข้างทิศตะวันออกนั้น ครั้นได้เห็นดาวดวงนั้น ก็เข้าใจว่าผู้มีคุณอันเลิศประเสริฐ มาบังเกิดในเมืองยูดายแล้ว เหตุฉะนี้โหราจำพวกนั้นก็พากันออกไปถึงเมืองยรูซาเลม ใกล้กันกับบ้านเบดเลียม จึงสืบถามชาวเมืองนั้นว่า ผู้มีคุณเกิดเป็นเจ้าเมืองยูดายอยู่ที่ไหน เหตุเพราะเราได้เห็นดาวของท่าน เกิดขึ้นข้างทิศตะวันออก เราจึงชักชวนกันมา ปรารถนาจะถวายนมัสการท่านผู้นั้น ครั้นพญาเฮโรดได้แจ้งดังนั้น ก็สะดุ้งตกใจกลัวหนักหนา แลพวกชาวกรุงยรูซาเลมทั้งปวงก็สะดุ้งตกใจไปด้วย
ชรอยชาวเมืองตกใจนั้น เพราะว่าพญาเฮโรดเป็นคนใจฉกรรจ์บาปหยาบช้านัก เคยกระทำอันตรายแก่ฝูงราษฎรมามากแล้ว

เมื่อพญาเฮโรดได้ยินข่าวว่า พระเยซูคริสต์นั้นบังเกิดแล้ว จึงคิดว่า เราจะให้หาตัวทารกนั้นได้ แล้วจะฆ่าทารกนั้นเสีย คิดแล้วพญาเฮโรด ก็ให้หาบรรดาพวกปุโรหิตที่บูชายัญ แลบรรดาพวกอาลักษณ์แห่งพลเมือง เข้ามาประชุมพร้อมกัน แล้วก็ไล่เลียงไต่ถามว่า พระคริสต์จะบังเกิดในแห่งใด คนจำพวกนั้นจึงบอกว่า ในคำทำนายว่าจะบังเกิดอยู่ในบ้านเบดเลียม เป็นแว่นแคว้นเมืองยูดาย พวกนักปราชญ์รู้ฉะนี้ เหตุเพราะพระเจ้าได้ให้เขียนไว้ ในหนังสือพระองค์ตรัสทำนายไว้นานมาแล้ว ว่าในบ้านเบดเลียมนี้ ท่านผู้มีคุณจะลงมาเสวยราชไพร่พลของพระองค์ ครั้นพญาเฮโรดได้ฟังดังนั้น จึงค่อยลอบเรียกพวกโหร ซึ่งได้เห็นดาวของพระเยซูคริสต์นั้นมาแแล้ว จึงซักถามถี่ถ้วนว่า เมื่อไรท่านได้เห็นดาวนั้น ฝ่ายพวกโหรก็แจ้งความตามจริงให้ฟังทุกประการ พญาเฮโรดทราบเหตุแล้วจึงใช้พวกโหรเหล่านั้น ออกไปถึงบ้านเบดเลียม สั่งให้ไปเที่ยวค้นคว้าหาดูลูกอ่อนนั้นทุกแห่ง ครั้นพบแล้วจงกลับมาบอกแก่เรา ๆ จะใคร่ไปถวายบังคมด้วย พวกโหรก็รับ รับสั่งพญาเฮโรด ลาออกไปสู่บ้านเบดเลียม แลดาวที่พวกโหรได้เห็นในทิศตะวันออกนั้น ก็เลื่อนลอยนำหน้าโหรไป จนถึงที่อยู่พระเยซูแล้ว ดาวนั้นก็หยุดอยู่ ในบื้องบนอากาศตรงที่นั่น ครั้นพวกโหรได้เห็นดังนั้น ก็มีความยินดีนัก ในขณะนั้นพวกโหรก็เข้าไปในที่พระเยซูอยู่ พบพระเยซูยังเป็นลูกอ่อนอยู่ด้วยกับมารดา พวกโหรก็กราบลงถวายนมัสการพระเยซูเจ้า แล้วจึงเปิดหีบของตัว หยิบของบรรณาการที่ดี ออกถวายพระเยซูทุกคน ในเพลาคืนวันหนึ่ง พวกโหรนอนหลับอยู่ในบ้านนั้น พระเจ้าสำแดงเหตุในความฝันแก่พวกโหรนั้น เป็นใจความว่า อย่าให้กลับไปหาพญาเฮโรดเลย ครั้นพวกโหรได้แจ้งดังนั้น ก็ลาพระเยซูแลมารดาพระเยซูพากันไปสู่บ้านของตน หาได้กลับไปหาพญาเฮโรดไม่
ครั้นพวกโหรลาไปแล้ว ฝ่ายผู้ทูตพระเจ้าก็มาสำแดงเหตุแก่โยเซบในความฝันว่า ท่านจงลุกขึ้นเถิด เร่งพาทารกกับมารดาทารก หนีไปสู่เมืองอายคึบโธ แล้วจงอาศัยอยู่ที่เมืองนั้น กว่าเราจะมาบอกเหตุแก่ตัวอีก เพราะว่าพญาเฮโรดจะมาจับทารกไปฆ่าเสีย ครั้นโยเซบรู้เหตุโดยความฝันดังนั้นแล้ว ก็ลุกขึ้นโดยด่วน อุ้มบุตรชวนภรรยาหนีไปถึงเมืองอายคึบโธ อาศัยอยู่ในเมืองนั้น จนถึงถึงพญาเฮโรดตาย
ฝ่ายพญาเฮโรดนั้นครั้นคอยท่าพวกโหร ๆ โหรไม่กลับมาตามสั่ง ก็โกรธนัก จึงใช้ให้เพชฌฆาตออกไปในบ้านเบดเลียม ให้ค้นคว้าหาทารกในแว่นแคว้นบ้านนั้น จะจับทารกที่บังเกิดในสองปี ที่เกิดพร้อมกันกับดาวที่โหรเห็นนั้น ฆ่าเสียให้สิ้น ครั้นพวกเพชฌฆาตได้รับคำสั่งดังนั้น ก็ไปทำตามรับสั่งพญาเฮโรด บังเกิดเป็นดั่งว่ามานี้ ก็สมด้วยพระเจ้าตรัสหนังสือทำนายแต่ก่อนนั้นว่า ในบ้านรามานั้น จะได้ยินเสียงร้องทุกข์น้ำตาไหล พิลาปร่ำไรนักคือว่าราเชละร้องไห้รักบุตรของตน ซึ่งทุเลาบรรเทาก็ไม่เอาเพราะลูกเต้านั้นหาไม่แล้ว

อยู่มาหน่อยหนึ่งพญาเฮโรดก็ถึงแก่มรณภาพ ครั้นพญาเฮโรดสิ้นชีวิตแล้ว ผู้ทูตพระเจ้าก็มาเข้าฝันโยเซบในเมืองอายคึบโธอีก ว่าท่านจงลุกขึ้น นำเอากุมารกับมารดากุมารนั้น พากันกลับไปอยู่ในประเทศอิศระเอลเถิด เหตุว่าคนทั้งปวงซึ่งแสวงหากุมาร จะเอาไปฆ่าเสียนั้น ตายเสียแล้ว ครั้นโยเซบแจ้งดังนั้น ก็ลุกขึ้นพาเอากุมารกับมารดา ไปสู่ประเทศอิศระเอล ก็รู้ข่าวว่า พญาอาเคโลได้เสวยราชสมบัติในเมืองยูดาย แทนพญาเฮโรดผู้เป็นบิดานั้น โยเซบคิดกลัวมิใคร่จะไปอยู่ที่นั่นได้ แต่หากว่ าพระเจ้าตักเตือนโยเซบในความฝันให้ไปอยู่ในหัวเมืองคาลิลาย เหตุฉะนี้โยเซบจึงไปสู่เมืองคาลิลาย แลเข้าอาศัยอยู่ในบ้าน นาซาเรด เหตุอันนี้ก็สมด้วยคำผู้ทำนายบอกไว้แต่ก่อนนั้น ว่าเขาจะเรียกท่านว่าเป็นชาว นาซาเรด


บทที่ ๕

ธรรมดาบิดาแลมารดาของพระเยซู พากันขึ้นไปสู่กรุงยรูซาเลมทุกปี ๆ รักษาศีลเลี้ยงดูกันตามธรรมเนียมของอิศระเอล เมื่อพระเยซูอายุสมได้สิบสองปีโยเซบจึงพาบุตรแลภรรยา เข้าไปในเมืองยรูซาเลม ครั้นกระทำการตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว บิดามารดาของพระเยซู ก็กลับมาจะไปบ้าน แต่พระเยซูยังพลัดบิดามารดาอยู่ในกรุงยรูซาเลมนั้น บิดามารดาหาทันรู้ว่า บุตรหลงหายไปไม่ สำคัญว่าบุตรอยู่ในฝูงคนที่เดินกลับมาด้วยกัน ต่อมาสิ้นหนทางวันหนึ่ง จึงได้ระลึกถึงเยซูผู้บุตร ครั้นไม่เห็นบุตรก็รู้ว่าหาย เที่ยวค้นคว้าหาบุตรในพวกพ้องพี่น้องเพื่อนบ้าน ที่มาด้วยกันในหนทางนั้นก็ไม่พบ ทั้งสองคนผัวเมีย ก็กลับมาสู่กรุงยรูซาเลม เที่ยวหาเยซูอยู่จนถึงวันที่สาม จึงพบบุตรของตัวนั่งอยู่ในวิหารพระยิโฮวะเจ้า คอยฟังพวกนักปราชญ์สนทนากัน แลพูดจาไต่ถามกับด้วยพวกนักปราชญ์นั้น ครั้นพวกนักปราชญ์ได้ฟังถ้อยคำพระเยซูพูดจาไต่ถาม แลตอบแก้ไขดั่งนั้น ก็คิดประหลาดใจหนักหนา ด้วยสติปัญญาแห่งพระเยซู กล่าวสำแดงนั้น วิตถารนักไม่สมกับเด็กเลย เมื่อบิดามารดานั้นมาพบพระเยซูนั่งสนทนากันกับด้วยนักปราชญ์ครั้งนั้นก็ประหลาดใจนัก ฝ่ายมาเรียผู้เป็นมารดาจึงถามเยซูว่า เหตุไฉนเจ้าได้กระทำดั่งนี้แก่เรา ให้บิดากับเราเป็นทุกข์ต้องเที่ยวหาเช่นนี้เล่า พระเยซูจึงตอบว่า เหตุไฉนท่านทั้งสองจึงไม่เข้าใจ เราจำจะต้องอุตส่าห์กระทำกิจธุระแห่งพระบิดาของข้าพเจ้า บิดามารดานั้น หาเข้าใจในถ้อยคำที่บุตรกล่าวนั้นไม่ ว่าแล้วพระเยซูก็กลับไปด้วยบิดาเลี้ยงแลมารดายังบ้านนาซาเรด แลยังอยู่ในอำนาจบิดามารดา ครั้นอยู่มาพระเยซูเจ้าค่อยจำเริญรูปกาย แลสติปัญญาอายุสมมากขึ้น ก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า แลมนุษย์ทั้งปวงด้วย

เมื่อพระเยซูมีอายุสมจำเริญใหญ่ขึ้นอยู่นั้น ขณะนั้นประเทศอิศระเอล อยู่ในบังคับบัญชาธิเบเรียกายซา ผู้เป็นกษัตริย์เจ้าเมืองโรม เมืองโรมนี้อยู่ฝ่ายทิศตะวันตกแห่งประเทศ อิศระเอล พญาธิเบเรียกายซา จึงบังคับให้พญาพิลาโธ มาครองหัวเมืองยูดาย ให้พญาเฮโรดครองหัวเมือง คาลิลาย ให้ฟีลิบผู้น้องพญาเฮโรดครองหัวเมือง อีทูเรีย ให้ลือซาเนียครองหัวเมือง อาบิเลนา ทั้งสี่หัวเมืองนี้ ขึ้นอยู่กับโรมสิ้น ครั้นโยฮันผู้เป็นบุตรซะฅาเรีย เที่ยวอยู่ในป่าแดนเมืองยูดาย โยฮันนี้ได้ชื่อว่าโยฮันบัพธิศเธ เพราะยังคนทั้งปวงให้รับศีลน้ำ ๆ ในภาษากรีกนั้นเรียกว่าบัพธิศเม ฝ่ายโยฮันป่าวประกาศในแว่นแคว้นเมืองยูดาย ว่าท่านทั้งหลายจงตั้งจิตใจเสียใหม่ ทิ้งเสียซึ่งความชั่ว จงถือเอาความชอบ เพราะเหตุราชสมบัติแห่งสวรรค์ ใกล้จะมาตั้งอยู่แล้ว ที่โยฮันเที่ยวสั่งสอนดังนั้น ก็สมด้วยคำพระเจ้าตรัสทำนายไว้แต่ก่อนนั้น ว่าท่านทั้งปวงจงแลดูเถิด เราจะให้คนใช้ของเราไปต่อหน้าท่าน คนใช้นั้นจะตกแต่งหนทางที่ข้างหน้าท่านไว้ อนึ่งเสียงของผู้ร้องประกาศในป่าดอนนั้น ว่าท่านทั้งปวงจงจัดแจงหนทางของพระเจ้าไว้ ให้มรคาของพระองค์ตรงแน่วไปเถิด ส่วนโยฮันนั้นเคยใส่เสื้อเขาทำด้วยขนอูฐ แลเข็มขัดที่คาดเอวนั้นทำด้วยหนัง โยฮันนั้นกินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร ครั้งนั้นชาวเมืองยรูซาเลม แลบรรดาคนอยู่ในแว่นแคว้นเมืองยูดาย แลบรรดาคนที่อยู่ในเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำยาระเดน ก็พากันมาหาโยฮันที่นั่น ถือตามคำสั่งสอนของโยฮัน สารภาพลุกะโทษของตัว แลรับบัพธิศเม คือ ศีลน้ำแต่โยฮันที่แม่น้ำยาระเดน แล้วให้ปฏิญาณทัณฑ์บนไว้ต่อหน้าโยฮัน เป็นเนื้อความว่า ข้าพเจ้าไม่ทำความผิดสืบต่อไปอีกแล้ว

ครั้งนั้นพวกฟารีซาย แลพวกซาดูกายก็พลอยมาหาโยฮันที่นั่นด้วย ครั้นโยฮันเห็นคนสองจำพวกนั้นชวนกันมาเป็นอันมาก ปรารถนาจะรับบัพธิศเม โยฮันจึงสั่งสอนเป็นใจความว่า ไอ้ชาติงูเห่าเอ๋ย ใครได้ตักเตือนให้ตัวรู้ว่า ตัวจะพ้นจากโทษนรกด้วยประพฤติประการใด ถ้าตัวปรารถนาจะไปสู่สวรรค์แล้ว จงทิ้งความชั่วเสียกลับตัวเป็นดี จงให้กิริยาแลจิตใจของตัวบริสุทธิ์ จึงจะสมควรเป็นดีได้ ตัวอย่านึกว่าอับราฮามที่เป็นบิดาของตัวในเดิมนั้น มีบุญอาจจะช่วยให้ตัวท่านทั้งปวงนั้น พ้นโทษได้ อย่านึกดังนั้นเลยไม่ถูก แท้จริงพระเจ้ามีฤทธิเดชมาก พระองค์จะทำให้ก้อนหินเหล่านี้เป็นลูกของอับราฮามนั้นก็ได้ ธรรมดาพระเจ้าแล้วที่จะโปรดคนทั้งปวง เพราะเห็นแก่หน้าบิดามารดาของผู้นั้นหามิได้ พระองค์เห็นแก่ใจของผู้นั้นเองว่าดีแลชั่ว เปรียบเหมือนต้นไม้ทั้งปวง เขาเอาขวานวางไว้ที่โคนต้น แม้นต้นไม้ใด ๆ ไม่เกิดผลอันดีแล้ว เขาก็เอาขวานนั้นฟันโค่นขุดรากเผาต้นไม้นั้นเสียสิ้น คนทั้งสองจำพวกครั้นได้ยินดังนั้น จึงถามโยฮันว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไรเล่าจึงควร โยฮันจึงตอบว่า ถ้าตัวมีเสื้อมาสองตัวจงเอาเสื้อตัวหนึ่งให้ทานแก่คนจนเสียจึงควร ถ้ามีเสบียงอาหารมาก ก็จงแบ่งให้ทานแก่คนจนเสียบ้างจึงควร ยังมีคนจำพวกหนึ่ง เป็นคนสำหรับเก็บส่วยส่งหลวง ก็มาหาโยฮันด้วย ปรารถนาจะรับบัพธิศเม จึงถามโยฮัน ว่าจะให้ข้าพเจ้านี้กระทำอย่างไรจึงควร โยฮันจึงว่า ท่านอย่าเอาค่าส่วยให้มากกว่าที่กำหนดไว้เลยจึงควร ยังมีทหารพวกหนึ่งเข้ามาถามโยฮันว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้านี้กระทำอย่างไร จึงจะควร โยฮันตอบว่า ท่านอย่ากระทำร้ายแก่ผู้ใด ๆ แลอย่าเอาคำเท็จไปฟ้องให้ผู้อื่นได้รับความยาก อย่าโลภเอาค่าจ้างเขาให้เกินขนาดเลยจึงควร คนทั้งปวงเมื่อได้ฟังคำสอนของโยฮันครั้งนั้น ก็นึกว่าคนนี้แล เห็นจะเป็นผู้ที่มาให้มนุษย์รอดจากโทษดอกกระมัง โยฮันจึงสำแดงเป็นใจความว่า ตัวเรานี้มิใช่ท่านผู้นั้น ตัวเรานี้มาให้ท่านทั้งหลายรับศีลน้ำสำหรับชำระจิตใจของท่านทั้งปวง ให้บริสุทธิ์ไว้พลางก่อน อันท่านที่จะมาเบื้องหน้านั้น ท่านมีฤทธิ์มากกว่าเรานัก จนชั้นต่ำแต่เกือกของท่าน ก็ไม่สมควรที่เราจะจับถือถูกต้องของท่านอีก ท่านผู้นั้นแลจะให้ท่านทั้งหลายรับศีลน้ำด้วยฤทธิ์พระวิญญาณบริสุทธิ์ แลด้วยไฟ ท่านผู้นั้นจะถือเอากระด้งมาฝัดผงคลี ที่ในลานนวดข้าวให้เกลี้ยงดี แล้วก็จะเก็บเอาแต่เม็ดข้าวสาลีใส่ไว้ในยุ้งฉาง ส่วนแกลบรำกับหญ้าฟางนั้น ท่านจะเผาเสียด้วยไฟอันไม่รู้ดับ


บทที่ ๖

ครั้นเมื่อพระเยซูเจ้ามีอายุสม ประมาณได้สามสิบปี ขณะนั้นพระองค์ออกจากบ้านนาซาเรด อันเป็นที่อยู่ ไปถึง โยฮัน ที่แม่น้ำยาระเดน เพื่อจะรับศีลน้ำแต่โยฮัน ฝ่ายโยฮันจึงห้ามพระเยซูว่า หาควรที่พระองค์จะรับศีลน้ำแต่ข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าจะรับศีลน้ำแต่พระองค์อีกจึงจะควร พระเยซูจึงตอบว่า ท่านจงยอมให้เรารับเถิด เพราะเหตุว่าครั้งนี้สมควรที่เราจะให้สำเร็จซึ่งความชอบธรรมทั้งสิ้น โยฮันได้ฟังดังนั้น ก็ยอมให้ตามพระทัยพระองค์ ครั้นพระเยซูรับศีลน้ำกลับมาจากน้ำแล้ว พระองค์ก็สวดอธิษฐานอยู่ เพลานั้นฟ้าก็เปิดเป็นช่องออกตรงพระเยซูอยู่ แลได้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์พระเจ้า บินลงมาเหมือนนกพิราบจับอยู่บนเกศเกล้าของพระองค์ แล้วเขาได้ยินเสียงก้องประกาศมาแต่บนฟ้า ว่าท่านผู้นี้แลเป็นบุตรที่รักชอบพระทัยของเรานัก ครั้งนั้นพระเยซูเจ้าก็มีพระทัยทวีเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะนั้นพระวิญญาณก็นำพระเยซูไปถึงป่าดอนแห่งหนึ่ง เพื่อซาธันผู้เป็นใหญ่ในฝูงปิสาจจะมาชันสูตรทดลองพระองค์

ครั้นซาธันได้เห็นพระเยซูเจ้าอยู่ในป่าดอนครั้งนั้น ก็เข้ามาหาพระองค์ที่นั่น แลคิดอ่านล่อลวงพระองค์ต่าง ๆ ไปจนถึงสี่สิบวันสี่สิบคืน พระเยซูจะเสียท่วงทีแก่ซาธันนั้นสักนิดหนึ่งหามิได้ แต่ว่าพระองค์ต้องลำบากอดอาหารถึงสี่สิบวันสี่สิบคืนอยู่ในที่นั่น แล้วพระองค์ก็มีความอยากอาหารนัก ขณะนั้นซาธันจึงว่า ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้าจริงแล้ว จงสั่งให้ก้อนหินนี้เป็นขนมขึ้นเถิด พระเยซูจึงตรัสว่า มีหนังสือจารึกไว้ว่า อันมนุษย์ทั้งหลายจะเลี้ยงชีวิตด้วยขนมสิ่งเดียวนั้นหามิได้ แต่เขาแสวงหาเลี้ยงชีวิตด้วยสิ่งของ ที่ถูกต้องกับคำพระเจ้าตรัสโปรดไว้ได้ทุกอย่าง แล้วซาธันก็พาพระเยซูไปถึงเมืองยรูซาเลมให้พระเยซูขึ้นยืนอยู่บนยอดวิหารอันหนึ่่ง จึงว่า ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้าจริงแล้ว จงโดดลงมาจากยอดวิหารนี้ให้ได้เถิด ด้วยมีหนังสือจารึกไว้ ว่าพระองค์จะใช้ให้ผู้ทูตสวรรค์ มาคอยรองรับกายท่านไว้ มิให้เท้าท่านตกลงกระทบถูกหินนี้ได้เลย พระเยซูจึงตอบว่า ยังมีคำจารึกไว้ในหนังสือพระเจ้า ว่าท่านทั้งปวงอย่าชันสูตรทดลองพระเจ้าของตัวเลย ฝ่ายซาธันก็พาพระเยซูไปอีกครั้งหนึ่ง ถึงยอดภูเขาสูงนัก แล้วให้พระองค์เห็นซึ่งเมืองทั้งปวงในโลกนี้ กับด้วยรัศมีเมืองนั้นทั้งสิ้น ในบัดเดี๋ยวหนึ่งแล้วจึงว่า ถ้าท่านกราบไหว้เราได้แล้ว อันสิ่งสารพัดทั้งปวงนี้เราจะยกให้แก่ท่านสิ้น ครั้งนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า ซาธันเองจงถอยลงไปข้างล่างเราเถิด ด้วยมีหนังสือพระเจ้าจารึกไว้ ว่าให้มนุษย์ทั้งหลายกราบไหว้นมัสการปรนนิบัติแก่พระเจ้าผู้เดียวเถิด ฝ่ายซาธันได้ฟังดังนั้น ก็ละพระองค์เสียไปกาลหน่อยหนึ่ง ครั้งนั้นพระเยซูเจ้าอยู่ในป่าดอนอันกันดาร กับด้วยฝูงสัตว์ป่าต่าง ๆ แล้วผู้ทูตสวรรค์เป็นหลายองค์ ลงมาปรนนิบัติพระองค์อยู่ที่นั่น

ตั้งแต่บังเกิดพระเยซูมาประมาณสามสิบเอ็ดปี ครั้งนั้นมีการวิวาหะมงคลบ่าวสาวในเมืองคาลิลาย ในบ้านกานา มารดาของพระเยซูมาอยู่ที่นั่นด้วย ฝ่ายพระเยซูกับพวกศิษย์เขาก็เชิญมาอยู่ด้วยที่นั่น ขณะนั้นน้ำองุ่นสำหรับเลี้ยงพวกเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้น ตามธรรมเนียมก็ไม่มี เขาคิดจะใคร่ได้น้ำองุ่นบ้าง ฝ่ายมารดาพระเยซูจึงว่ากับพระเยซูว่า น้ำองุ่นนั้นเขาไม่มี พระเยซูจึงตอบเป็นใจความว่า ท่านผู้หญิงเอ๋ย เป็นธุระอะไรด้วยเล่า อันเวลากำหนดเรายังไม่ถึงก่อน แล้วมารดาของพระองค์จึงสั่งให้คนใช้ทั้งปวงว่า การสิ่งใด ๆ ที่ท่านเยซูจะสั่ง เจ้าจงอย่าขัดเลย จงกระทำตามเถิด ที่ในบ้านนั้นมีอ่างเคลือบใหญ่หกใบเปล่าอยู่ สักหน่อยหนึ่งพระเยซูจึงสั่งพวกคนใช้นั้นว่า เจ้าจงตักน้ำใส่ให้เต็มอ่างทั้งหกใบเถิด พวกคนใช้ก็ทำตามคำสั่งสิ้น พระเยซูจึงตรัสสั่งว่า เจ้าจงตักน้ำออกจากอ่างแล้วเอาน้ำนั้นส่งให้แก่คน ที่เป็นนายการวิวาหะมงคลนั้นเถิด คนใช้ก็ทำตาม ฝ่ายนายการวิวาหะมงคล แลดูน้ำนั้นเห็นเป็นน้ำองุ่นไป แล้วกินดูก็รู้ว่าเป็นน้ำองุ่นแท้ แต่ไม่รู้ว่าน้ำนั้นมาแต่ข้างไหน แต่พวกคนใช้นั้นรู้อยู่ ฝ่ายนายการวิวาหะมงคล จึงเรียกเจ้าบ่าวมาบอกว่า เป็นธรรมเนียมดั่งนี้ ย่อมจะให้น้ำองุ่นดี ๆ มากินก่อน ต่อเมื่อกินเกือบจะอิ่ม จึงค่อยส่งน้ำองุ่นที่ไม่สู้ดีมาให้กินต่อทีหลัง แต่เจ้าบ่าวหาทำตามธรรมเนียมไม่ กลับเอาน้ำองุ่นที่ดีมาให้กินต่อทีหลัง
พระเยซูบันดาลครั้งนั้นสำแดงให้เหล่ามนุษย์เห็นฤทธิอันรุ่งเรืองแห่งพระองค์ ฝ่ายพวกศิษย์พระองค์ครั้นได้เห็น ก็เชื่อถือในพระองค์มั่นคง ไม่มีความสงสัย


บทที่ ๗

ครั้นอยู่มาพระเยซูเจ้า ก็ลงไปสู่เมืองกเพอนะอูม กับมารดาและญาติพี่น้องพวกพ้อง แลพวกศิษย์แห่งพระองค์ ก็มิได้หยุดพักที่นั่นอยู่ให้ช้าวัน รีบขึ้นไปถึงเมืองยรูซาเลม ขณะนั้นถึงคราวที่พวกอิศระเอลเลี้ยงดูกัน คนทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันที่เมืองนั้นในวิหารใหญ่ อันพระเจ้าตั้งไว้ให้เป็นที่สำหรับสวดอธิษฐาน แลบูชาแก่พระองค์เจ้า ที่อันนั้นพระเจ้าห้ามมิให้ทำการสิ่งใดอื่น ๆ เลย เมื่อพระเยซูเข้าไปสู่วิหารอันประเสริฐนั้น ได้พบคนขายวัวแลแกะ แลนกพิราบ เพื่อเขาจะได้ซื้อบูชายัญในที่นั่น แลพบคนหากินด้วยเขาแลกเปลี่ยนเงินกัน ครั้นพระเยซูเห็นดั่งนั้น ก็ถือเชือกเล็ก ๆ ขับไล่ฝูงสัตว์ทั้งปวงให้ออกไปจากวิหาร โต๊ะแลหีบทั้งหลายที่สำหรับเขาแลกเงินกันนั้น พระองค์ก็ทำให้หกตกเรี่ยรายกระจายไปสิ้น แล้วพระเยซูจึงตรัสแก่คนทั้งปวงพวกนั้นว่า จงเอาของ ๆ ตัวไปเสียให้หมด อย่ามาทำในที่วิหารนี้เป็นร้านตลาดไม่สมควร ฝ่ายเจ้าของจึงตอบว่า ท่านนี้ได้อาชญาสิทธิ์มาแต่ไหน จึงได้มาไล่ข้าพเจ้าทั้งปวง ท่านจงเอาสำคัญที่อาชญาสิทธิให้ข้าพเจ้าดูก่อนเถิด พระเยซูจึงตอบว่า ถ้าท่านทำลายวิหารนี้เสียแล้วกำหนดสามวันเราจะปลูกขึ้นใหม่อีก ท่านจึงจะเห็นอาชญาสิทธิแห่งเรา เขาจึงตอบว่าวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปี จึงแล้ว ท่านจะปลูกขึ้นใหม่ให้แล้วในสามวันได้หรือ คำก่อนที่พระองค์ว่ากับเขานั้น พระองค์จะได้กล่าวเล็งเอาวิหารนั้นหามิได้ พระองค์กล่าวจำเพาะแก่ร่างกายแห่งพระองค์ คนชาวเมืองยูดายทั้งปวง ซึ่งได้ฟังถ้อยคำพระเยซูครั้งนั้นหาเข้าใจในถ้อยคำของพระองค์ไม่ พวกศิษย์ทั้งปวงก็ไม่เข้าใจด้วย มาต่อภายหลังเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย แล้วพวกศิษย์ทั้งปวงนั้น จึงคิดเห็นในคำที่พระองค์ตรัสไว้ก่อนนั้น จึงรู้ว่าคำนั้นเป็นคำพระองค์ตรัสทำนาย เล็งตลอดมาถึงเหตุที่พระองค์ปลงชีวิตลง แล้วกลับเป็นขึ้นมาจากตายในสามวันนั้น ครั้นพวกศิษย์คิดเห็นดั่งนั้นแล้ว ก็เชื่อถือในคำจารึกของพระเจ้าแลคำที่พระเยซูตรัสไว้นั้น

อยู่มาวันหนึ่งยังมีคนผู้หนึ่งในพวกฟารีซาย ชื่อ นิกะเดโมเป็นเสนามนตรีในเมืองยูดาย มาหาพระเยซูในเพลากลางคืน กล่าวกับพระองค์ว่า อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้แล้วว่า ท่านเป็นอาจารย์มาแต่พระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดอาจสามารถจะกระทำการอัศจรรย์ เหมือนพระองค์กระทำได้นั้น เว้นไว้แต่พระเจ้าอยู่ด้วยจึงจะทำได้ พระเยซูจึงตอบแก่นิกะเดโมว่า เราบอกแก่ท่านเป็นความจริง ถ้าผู้ใดไม่บังเกิดเสียใหม่ ผู้นั้นไม่ได้พบเห็นเมืองพระเจ้าเลย นิกะเดโมจึงทูลถามพระองค์ว่า ทำไฉนคนผู้มีอายุสมแก่แล้ว จึงจะบังเกิดเสียใหม่ได้เล่า คนผู้นั้นจะกลับเข้าสู่ครรภ์มารดาเป็นที่สองแล้วบังเกิดใหม่จะได้หรือ พระเยซูจึงตอบว่า เราบอกแก่ท่านเป็นคำมั่น ถ้าบุคคลผู้ใดไม่ได้บังเกิดด้วยน้ำแลด้วยพระวิญญาณ ผู้นั้นก็จะไม่ได้เข้าไปในเมืองของพระเจ้าเลย สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดเพราะเนื้อหนัง ก็คงเป็นเนื้อหนัง สิ่งที่เกิดเพราะพระวิญญาณ ก็คงเป็นวิญญาณ ท่านอย่าได้คิดฉงนสงสัยในถ้อยคำซึ่งเราตรัสนั้นเลย ผู้ใดจะเข้าในเมืองพระเจ้า ก็ต้องบังเกิดใหม่ทุกคน ๆ อันธรรมดาลมจะพัดไปทิศไหน ก็พัดไปสู่ทิศนั้นตามวิสัย ท่านก็ได้ยินสำเนียงแห่งลมนั้น แต่ว่าลมนั้นจะพัดไปทิศไหน พัดมาทิศไหนท่านก็ไม่รู้ คนทั้งปวงอันบังเกิดเพราะพระวิญญาณ ก็เช่นวิสัยแห่งลมนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกัน นิกะเดโมจึงทูลถามพระองค์อีกว่า เหตุที่พระองค์ว่านี้จะเป็นขึ้นอย่างไรได้ พระเยซูจึงตรัสถามนิกะเดโมว่า ท่านก็เป็นอาจารย์แห่งพวกอิศระเอลแล้ว ยังไม่เข้าใจในความนี้หรือ เราบอกแก่ท่านเป็นความจริง เราไม่ได้กล่าวที่เราไม่รู้ เราเป็นพยานแก่ท่านที่เราได้เห็นแล้ว คำพยานนั้นท่านก็ไม่เอาไว้เลย แต่เราบอกเหตุการณ์ที่ในมนุษย์โลกนี้ ท่านยังไม่เชื่อเราแล้ว เราบอกเหตุการณ์ที่ในสวรรค์ ที่ไหนท่านจะเชื่อเราเล่า แลคนผู้ใดที่ได้ขึ้นไปสวรรค์ แลได้กลับลงมาบอกไม่มีเลย เว้นแต่คนผู้ลงมาจากสวรรค์ในกาลบัดนี้ อนึ่งเมื่อครั้งโมเซยกชูรูปงู อันกระทำด้วยทองเหลืองเอาไม้ปักขึ้นไว้ ให้ผู้ที่ถูกต้องพิษแห่งอสรพิษแลดู เพื่อจะให้เขารอดจากความตายครั้งนั้น อันกายแห่งบุตรมนุษย์นี้เล่า ก็จะมีผู้ยกขึ้นไว้ เพื่อฝูงคนทั้งหลายที่เชื่อถือในบุตรมนุษย์นั้น จะไม่ถึงแก่วินาศฉิบหาย แลจะมีชีวิตมีความสุขอยู่ชั่วนิรันดร ได้เหมือนกันเช่นนั้น เพราะพระเจ้าเมตตาแก่ชาวมนุษย์โลกเป็นอันมาก พระองค์จึงประทานพระบุตรผู้เดียวของพระองค์ ให้ลงมาแทนโทษเหล่ามนุษย์ทั้งปวง เพื่อบุคคลที่นับถือในพระบุตรนั้น จะไม่ได้ถึงแก่ความวินาศฉิบหาย แลจะได้มีชีวิตมีความสุขอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ แลพระบิดาจะได้ใช้ให้พระบุตรลงมาสู่มนุษย์โลก ด้วยจะให้ปรับโทษเขานั้นหามิได้ แต่ว่าพระองค์ใช้ให้พระบุตรลงมา ด้วยประสงค์จะให้ช่วยมนุษย์พ้นจากโทษเพราะพระบุตร ถ้าผู้ใดนับถือในพระบุตรนั้น ก็จะไม่มีโทษ ถ้าผู้ใดไม่นับถือก็มีโทษ เพราะไม่นับถือในนามชื่อพระบุตรผู้เดียวของพระเจ้า แลมีโทษเพราะโอภาสสว่างมาในมนุษย์โลกแล้ว มนุษย์ทั้งปวงยังหลงรักในที่มืดมากกว่าที่สว่างอีก แลไม่แสวงหาสว่าง เพราะการแห่งเขาชั่วแล้ว ถ้าบุคคลผู้ใดทำการชั่ว ก็ไม่รักสว่างไม่แสวงหาสว่าง เพราะว่ากลัวการอันชั่วของต้วจะปรากฏ แต่บุคคลที่ทำการซื่อตรงก็มาสู่ที่สว่าง เพื่อจะให้ปรากฏแก่คนทั้งปวง เขาจะได้รู้ว่ากิจธุระของตนตั้งอยู่ในพระเจ้า


บทที่ ๘

ครั้นอยู่มาหน่อยหนึ่ง โยฮันบัพธิศเธเข้าไปหาพญาเฮโรดผู้เป็นเจ้าเมืองคาลิลายใหม่ พญาเฮโรดคนนี้อย่าภรรยาเก่าเสีย มาเอาภรรยาของน้องชายตัว เลี้ยงเป็นภรรยาของตน หญิงนั้นชื่อเฮโรเดีย เพราะเหตุนี้โยฮันบัพธิศเธ จึงว่าติเตียนให้สติสั่งสอนพญาเฮโรด ฝ่ายพญาเฮโรดได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งคนใช้ ให้จับเอาตัวโยฮันบัพธิศเธนั้นจำไว้ในคุก ฝ่ายนางเฮโรเดียผู้เป็นภรรยาก็โกรธโยฮันด้วย จิตคิดจะใคร่ฆ่าโยฮันเสีย แต่น้ำใจพญาเฮโรดนั้นไม่คิดฆ่าโยฮัน เพราะเกรงราษฎรทั้งปวงอยู่ ด้วยเขารักใคร่โยฮันมาก จึงให้เอาโยฮันนั้นจำไว้ในคุกพอให้เข็ดหลาบ

ครั้นพระเยซูได้ยินว่าโยฮันต้องจำอยู่ในคุกแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในหัวเมืองคาลิลาย โดยอานุภาพฤทธิแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ แล้วก็เที่ยวสำแดงข่าวอันประเสริฐ ถึงข้อปรนนิบัติแห่งราชสมบัติพระเจ้า ว่ากาลกำหนดที่ถึงราชสมบัติพระเจ้าก็มาใกล้อยู่แล้ว คนทั้งหลายจงกลับชั่วเป็นดี แลนับถือในข่าวประเสริฐโดยเร็วในบัดเดี๋ยวนี้เถิด กิตติศัพท์พระองค์ ก็เลื่องลือแผ่ทั่วไปตลอดเมืองคาลิลายสิ้น แล้วพระองค์ก็เข้าไปในโรงธรรมหลายแห่งสั่งสอนพระศาสนา ฝ่ายคนทั้งปวงได้ยินได้ฟัง ก็ดีเนื้อดีใจ สรรเสริญพระองค์นัก แล้วพระเยซูก็ไปอาศัยอยู่ในบ้านกเพอนะอูม อันอยู่ที่ริมบึงคาลิลาย

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพระเยซูเจ้าไปสู่บ้านกานา ยังมีมุขมนตรีคนหนึ่งอยู่ในบ้านกเพอนะอูม มีบุตรชายคนหนึ่งป่วยเป็นไข้นัก เกือบจะถึงตาย มุขมนตรีผู้บิดานั้น จึงไปหาพระเยซูที่บ้านกานา แล้วทูลว่า ขอพระองค์จงโปรดรีบลงไปช่วยรักษาบุตรของข้าพเจ้าที่ป่วยให้รอดจากความตายเถิดพระเจ้าข้า พระเยซูจึงตรัสว่า ถ้าแม้นตัวท่านไม่ได้ความสำคัญเป็นอัศจรรย์แล้ว ท่านก็จะไม่เชื่อถือเราดอก มุขมนตรีตอบว่า ขอพระองค์จงรีบลงไปช่วยบุตรข้าพเจ้าให้รอดจากความตายเถิด พระเยซูจึงตรัสว่า ท่านอย่าวิตกเลย จงกลับไปบ้านเถิด บุตรท่านหายป่วยแล้ว มุขมนตรีก็เชื่อถือมั่นคง แล้วก็กราบลาไป ครั้นถึงกลางทางพบบ่าวของตัวตามขึ้นมาบอกว่า บุตรของท่านนั้นหายป่วยแล้ว มุขมนตรีจึงถามบ่าวว่า หายเมื่อเพลาไร บ่าวบอกว่า หายเมื่อเวลาบ่ายโมงหนึ่งวานนี้ มุขมนตรีก็รู้ว่าหายพร้อมกันกับคำพระเยซูบอก ตั้งแต่นั้นมามุขมนตรีกับพวกพ้องของตัวนั้น ก็นับถือรักใคร่ในพระเยซูนัก

ภายหลังมาพระองค์เสด็จไปสู่บ้านกเพอนะอูมอีก สำแดงโอวาทแก่คนทั้งปวงในวันซะบัดโต คนทั้งหลายได้ฟังพระองค์เทศนาดังนั้น ก็ประหลาดใจ เพราะพระองค์ตรัสสั่งสอนด้วยฤทธานุภาพเป็นอันมาก
อยู่มาวันหนึ่งพระเยซูเสด็จเดินไปริมฝั่งบึงคาลิลายได้ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคน คือเพชโร แลอันดะเรีย เอาแหมาทอดลงในน้ำ เพื่อจะจับปลา เพราะเขาเป็นชาวประมง พระเยซูจึงร้องเรียกคนทั้งสองว่า จงตามเรามาเถิด เราจึงจะให้ตัวเจ้าทั้งสองเป็นผู้ช่วยชักนำมนุษย์ ขณะนั้นพี่น้องทั้งสองก็ทิ้งแหเสีย พากันไปเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ ๆ ก็เสด็จไปหน่อยหนึ่งได้ทอดพระเนตรเห็นยาโกโบ แลโยฮันเป็นลูกของสะบิดาย ลูกทั้งสองคนช่วยบิดาชุนแหอยู่ในเรือ พระเยซูจึงร้องเรียกให้ยาโกโบและโยฮันนั้น มาเข้าเป็นศิษย์ของพระองค์ ในขณะนั้นคนทั้งสอง ครั้นได้ยินพระองค์ร้องเรียกดังนั้นก็ละบิดาแลพวกลูกจ้างเสีย มาเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ไป

ครั้นอยู่มาพระเยซูไปยืนอยู่ เทศนาที่ฝั่งบึงคาลิลาย ฝูงคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ ด้วยปรารถนาจะฟังคำโอวาทแห่งพระเจ้า ก็เบียดเสียดพระองค์นัก พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ที่ตลิ่ง เจ้าของไม่อยู่ด้วยเขาออกชักแหอยู่ พระองค์ก็เข้าไปในเรือลำนั้น ที่เป็นของเพชโรนั้น แล้ววานเพชโรให้ถอยเรือออกจากตลิ่งหน่อยหนึ่ง เพชโรก็ทำตามพระทัยประสงค์ พระองค์จึงนั่งลงที่เรือนั้น สำแดงคำโอวาทแก่คนทั้งปวงที่อยู่บนตลิ่ง เมื่อพระองค์เทศนาเสร็จแล้ว จึงสั่งแก่เพชโรว่า เจ้าจงถอยเรือออกไปที่กลางบึง เอาแหทอดลงหาปลาเถิด เพชโรจึงทูลว่า พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าได้อุตส่าห์หาปลาตั้งแต่หัวค่ำจนยังรุ่ง ไม่ได้ปลาสักตัวหนึ่งเลย เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าจะทอดแหลง เพราะคำพระองค์สั่ง ว่าแล้วพวกศิษย์ก็ทำตามคำพระองค์สั่ง ถอยเรือออกที่ท่ามกลางบึง เอาแหทอดลงทีเดียว ได้ปลามากหนักจนแหเกือบจะขาด เขาจึงกวักมือให้คนที่อยู่ในเรือลำอื่นนั้นมาช่วยกัน เขาก็มาเอาปลานั้น บรรทุกเพียบเรือทั้งสองลำจึงหมดปลา เรือทั้งสองลำนั้นเกือบจะจม พวกศิษย์ทั้งปวงเห็นดั่งนั้น ก็คิดประหลาดใจกลัวเกรงพระเยซูนัก ฝ่ายเพชโรเห็นดังนั้น ก็กราบลงที่เท้าของพระองค์ว่า ขอพระองค์เสด็จออกให้ห่างจากตัวข้าพเจ้า เพราะตัวข้าพเจ้าเป็นคนบาปโอ้พระเจ้าข้า เพชโรกล่าวดั่งนั้นด้วยคิดอัศจรรย์ใจนัก ถึงที่ได้ปลามากมายเช่นนั้น พระเยซูจึงว่า ท่านอย่าคิดกลัวเลย แต่นี้ไปท่านจะได้จับมนุษย์

อธิบายว่าภายหน้าไป ตัวเพชโรจะได้ช่วยสั่งสอนชักนำคน ให้เข้ารีตเป็นศิษย์พระเยซู เป็นอันมากเหมือนปลานี้ ฝ่ายพวกศิษย์ก็พาเรือมาถึงฝั่ง แล้วละทิ้งสิ่งของทั้งปวงเสียติดตามพระเยซูไป


บทที่ ๙

อยู่มาวันหนึ่งพระเยซูกับศิษย์ทั้งปวง ก็มาสู่บ้านกเพอนะอูม เข้าไปในโรงธรรมอันหนึ่ง สั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ที่นั้น คนทั้งปวงได้ฟังพระองค์เทศนาก็คิดประหลาดใจถึงคำโอวาทแห่งพระองค์นัก เพราะพระองค์สั่งสอนโดยฤทธิอำนาจมาก ไม่เหมือนพวกอาลักษณ์แลนักปราชญ์ทั้งปวงเลย

แลในโรงธรรมนั้นมีคนผู้หนึ่ง ทนลำบากเพราะปิสาจร้ายเข้าสิงอยู่ในกาย มันทำให้สติอารมณ์คลุ้มคลั่ง ฟั่นเฟือนนัก ครั้นมันได้ยินเสียงพระเยซูสั่งสอนคนทั้งปวงต่าง ๆ มันจึงร้องว่าแก่พระองค์ว่า อย่าทำอันใดแก่เราเลย เรานี้มีธุระอันใดกับท่านเยซูผู้เป็นชาวบ้านนาซาเรดบ้างหรือ ท่านจะมาทำร้ายเราให้ฉิบหายหรือ เราก็รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นผู้ล้ำเลิศประเสริฐแห่งพระเจ้า พระเยซูจึงตรัสห้ามว่า จงนิ่งอยู่เถิด แล้วพระองค์ก็ขับปีศาจร้ายที่สิงอยู่ในกายผู้นั้นให้ออกเสีย เมื่อปิสาจร้ายอันสิงอยู่ในกายผู้นั้น เห็นพระเยซูครั้งนั้น ก็ตกใจกลัว ทนอยู่มิได้ ร้องด้วยเสียงอันดัง แล้วก็ฉีกกายผู้นั้นให้แหกออก แล้วก็หนีไป คนผู้นั้นก็หายสนิท กายที่ฉีกออกก็ติดกันเป็นปกติเหมือนดังเก่า ฝูงคนทั้งปวงเมื่อได้เห็นดังนั้นก็อัศจรรย์หนักหนา จึงพูดกันว่า ท่านผู้นี้จะเป็นผู้ใดจึงขับปิสาจออกได้ ปิสาจทั้งหลายเกรงกลัวอำนาจท่านมาก จะเป็นอย่างไรหนอ เขาคิดเกรงกลัวฤทธานุภาพพระเยซูทุกคน กิตติศัพท์อันนั้นเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นหัวเมืองยูดายทั้งปวง

ภายหลังมาครั้งหนึ่งพระเยซู ชวนโยฮันกับยาโกโบ สองคนผู้เป็นศิษย์ ไปสู่บ้านแห่งเพชโรผู้เป็นศิษย์ด้วย ได้เห็นแม่ยายของเพชโรนั้นป่วยจับไข้นัก นอนอยู่ที่นั่น ฝ่ายเพชโรกับคนอื่น ก็เร่งอ้อนวอนพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์สงเคราะห์แม่ยายให้หายโรคดี พระเยซูจึงเข้าจับมือคนไข้นั้น พยุงให้ลุกขึ้นนั่ง คนไข้ก็หายโรคในขณะนั้น ได้ลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ แลศิษย์ของพระองค์ในที่นั้น

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระเยซูพาศิษย์ทั้งปวงไปสู่เมืองคาลิลาย ในเพลาเย็นวันนั้น ชาวเมืองคาลิลายทั้งปวงจึงพาคนไข้คนเจ็บต่าง ๆ ออกมาหาพระองค์ ปรารถนาจะให้พระองค์สงเคราะห์รักษาให้หาย พระเยซูเห็นดังนั้นก็เอาพระหัตถ์ต้องเข้าที่กายคนไข้ทั้งปวงนั้น คนโรคทั้งหลายก็หายดีทุกคน ยังมีพวกหนึ่งหลายคนได้ความลำบากนัก เพราะปิสาจเข้าสิงอยู่ในกาย พระองค์ได้เห็นดังนั้น ก็ขับไล่ปิสาจทั้งปวงให้ออกจากกายคนทั้งหลาย ปิสาจนั้นก็ออกไปสิ้น เหมือนพระองค์ตรัสสั่ง แล้วปิสาจทั้งปวงก็ร้องว่า ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์คือบุตรพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเยซูได้ยินดั่งนั้นก็ห้ามเหล่าปิสาจมิให้ร้องอื้ออึงไป เหตุเพราะฝูงปิสาจรู้ว่า พระองค์เป็นบุตรพระเจ้าเที่ยงแท้

ครั้นเพลาประมาณสามยาม พระองค์ตื่นขึ้นออกไปสู่ที่สงัด ไม่มีผู้ใดอยู่สวดอ้อนวอนถึงพระบิดาเจ้า ภายหลังเพชโรก็ตามพระองค์ไป พบพระองค์จึงทูลว่า คนทั้งหลายเที่ยวแสวงหาพระองค์นัก บัดเดี๋ยวหนึ่งคนทั้งปวงก็มาถึง ยึดพระองค์ไว้ ด้วยปรารถนาจะให้พระองค์หยุดอยู่ในบ้านนั้น พระองค์จึงบอกว่า เราจะต้องไปสำแดงเมืองพระเจ้าที่บ้านอื่น ว่าแล้วพระเยซูก็เที่ยวไปทั่วแว่นแคว้นแดนเมืองคาลิลาย เข้าในโรงธรรมทั้งหลาย สำแดงข่าวประเสริฐถึงเมืองสวรรค์ แลรักษาโรคต่าง ๆ ให้หาย กิตติศัพท์แห่งพระองค์ ก็ลือเลื่องเฟื่องฟุ้งไปตลอดนอกประเทศอิศระเอล ออกไปทั่วประเทศซูเรียสิ้น คนทั้งหลายก็พาเอาคนโรคต่าง ๆ แลคนที่ปิสาจเข้าสิงอยู่ แลคนบ้าหมู คนง่อย คนเปลี้ย มาหาพระองค์ ๆ ก็บันดาลให้หายสิ้นทุกคน ๆ พระองค์กระทำดั่งนั้น ก็สมด้วยคำทำนาย ที่พระเจ้าสั่งให้คนประเสริฐชื่อยะซายาเขียนไว้แต่ก่อน ในคำทำนายนั้นว่า พระองค์จะมารับทุกข์โศกโรคภัยไข้เจ็บแห่งมนุษย์ทั้งปวงแทนเขา แลมีฝูงคนทั้งหลายรักใคร่ติดตามพระองค์ไปทุกวัน ๆ เป็นอันมาก

อยู่มาหน่อยหนึ่ง มีคนเป็นโรคเรื้อนคนหนึ่ง เจ็บป่วยลำบากนัก คนโรคเรื้อนนั้นเห็นพระองค์มา ก็เข้าไปกราบลงตรงหน้าว่า พระเจ้าข้าถ้าแม้นพระองค์ทรงเมตตา โปรดอนุเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายโรค ๆ ข้าพเจ้าก็จะหาย พระเยซูจึงตอบว่า เราก็มีน้ำใจจะสงเคราะห์ให้ตัวหายโรคอยู่ ว่าแล้วพระองค์ก็เอาพระหัตถ์ไปต้องเข้าที่กายคนโรคเรื้อนนั้น โรคเรื้อนนั้นก็หายกายก็สะอาดดี แล้วพระเยซูจึงห้ามคนผู้นั้นว่า ท่านอย่าเอากิตติศัพท์ของเรานี้ไปบอกกล่าวให้เลื่องลือไปเลย คนผู้นั้นก็ไม่ฟังคำพระองค์ห้าม ก็ไปให้เลื่องลือฟุ้งเฟื่องไป คนทั้งปวงได้แจ้งกิตติศัพท์อันนั้น ก็ชวนกันออกมาหาพระองค์มากมาย แน่นอัดยัดเยียดเบียดเสียดกันนัก เหตุฉะนี้พระองค์จึงออกไปอยู่ป่าอันสงัด ด้วยปรารถนาจะได้สวดอ้อนวอนถึงพระบิดาเจ้า กิตติศัพท์ของพระองค์ก็หาสงบเงียบไม่ คนทั้งหลายทุกทิศทุกตำบล ก็พากันมาหาพระองค์ในที่นั้นเป็นอันมาก


บทที่ ๑๐

อยู่มาวันหนึ่ง พระเยซูเข้าไปสู่บ้านกเพอนะอูมอีก แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง นั่งอยู่ในท่ามกลางพวกฟารีซายแลพวกอาลักษณ์ คนสองจำพวกนี้มาแต่เมืองยูดาย แลเมืองคาลิลาย แลเมืองยรูซาเลม ปรารถนาจะมาฟังข่าวแห่งพระเยซูดู ขณะเมื่อพระเยซูนั่งสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ที่นั่น มีคนสี่คนพาคนง่อยมาคนหนึ่ง ให้นอนบนแคร่หามมา จะเข้ามาหาพระเยซู ครั้นถึงประตูเข้าไปไม่ได้ เพราะคนอยู่ข้างในข้างนอกอัดแน่นกันนัก คนทั้งสี่ก็พาแคร่คนง่อยนั้นขึ้นไปตามบันไดถึงหลังคา ที่เขาทำเป็นช่องดาดเพดานด้วยผ้าที่เขาทำไว้ตรงท่ามกลางเรือน เขารื้อผ้าเพดานให้เป็นช่อง แล้วจึงหย่อนคนง่อยลงทางช่องนั้นตรงหน้าพระเยซู ๆ เห็นดั่งนั้นจึงตรัสแก่คนง่อยว่า เจ้าจงมีใจชื่นบายสบายเถิด เพราะว่าความบาปของตัวเราโปรดเสียแล้ว จงลุกขึ้นเอาที่นอนกลับไปบ้านเถิด ขณะนั้นคนง่อยก็ลุกขึ้นเก็บเอาที่นอนกลับไปบ้านเกิด สรรเสริญคุณพระเจ้าเป็นอันมาก ฝูงคนทั้งปวงเห็นดังนั้น ก็ประหลาดใจ คิดเกรงหนักหนา พูดจากันว่า ในวันนี้เราได้เห็นการอัศจรรย์นัก ที่เราไม่เคยเห็นมาแต่ก่อนเลย จึงสรรเสริญพระเจ้า ฝ่ายพวกอาลักษณ์แลพวกฟารีซาย ครั้นได้ยินพระเยซูตรัสกับคนง่อยว่า ความบาปของตัวเรานั้นเราโปรดเสีย แล้วดังนั้น พวกเขาจึงคิดแต่ในใจว่า เยซูผู้นี้ พูดจาเหลือเกินนัก ตั้งตัวเองว่าโปรดบาปมนุษย์ได้ เว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว ผู้อื่นที่ไหนจะโปรดบาปมนุษย์ได้

ครั้งนั้นพระเยซูรู้ในใจแห่งมนุษย์ทั้งหลาย จึงล่วงรู้ว่าพวกอาลักษณ์แลพวกฟารีซาย คิดติเตียนในใจดั่งนั้น พระองค์จึงถามคนเหล่านั้นว่า เหตุไฉนพวกเจ้า จึงมาคิดร้ายตำหนิติเตียนเราในใจเช่นนี้เล่า อันคำเราว่า แก่คนง่อยว่า บาปโทษของตัวเราโปรดเสียแล้ว กับคำเราสั่งว่า เจ้าจงลุกขึ้นเอาที่นอนของตัวเดินไปเถิด คำสองคำนี้ ท่านเห็นว่าการณ์ในคำไหนง่ายกว่ากัน ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า บุตรมนุษย์มีฤทธานุภาพพอโปรดบาปโทษมนุษย์ทั้งปวงได้

อยู่มาหน่อยหนึ่ง พระเยซูเสด็จไปริมทะเลสาบคาลิลาย ฝูงคนเป้นอันมากติดตามพระองค์มาด้วย พระองค์สั่งสอนคนทั้งปวง พอหยุดปากลงไปจากที่นั้นหน่อยหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นคนผู้เป็นนายกองเก็บค่าส่วยหลวงชื่อเลวิ มีอีกชื่อหนึ่งชื่อมัดธาย เป็นลูกของอันละฟาย เขานั่งอยู่ในที่สำหรับเก็บค่าส่วย พระองค์จึงตรัสเรียกให้มาเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ มัดธายก็ละทิ้งสิ่งของทั้งปวงเสีย แล้วก็มาเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ไป

อยู่มาอีกเพลาหนึ่งเล่า พระเยซูไปสู่กรุงยรูซาเลม ในกรุงนั้นมีสระน้ำแห่งหนึ่งชื่อเบดเซดา สระนั้นมีท่าลงห้าแห่ง มีศาลาประจำท่าห้าศาลา ในศาลาทั้งห้านั้น มีฝูงคนป่วยไข้โรคต่างๆ อยู่มากมาย เพราะเขาคอยจะชิงกันลงในสระ เพราะเหตุว่าสระนั้น มีทูตสวรรค์ลงมาทำให้น้ำกระฉอก เป็นระลอกอยู่บ่อย ๆ ถ้าผู้ใดได้ลงไปก่อนทันน้ำกระฉอกแล้ว โรคป่วยไข้ทั้งปวงก็หายสิ้น ยังมีคนผู้หนึ่งเป็นง่อยมาช้านาน ประมาณได้สามสิบแปดปีแล้ว เพื่อนบ้านเห็นเวทนา เขาช่วยกันหามคนง่อยมาไว้ที่ริมสระนั้นด้วย คนง่อยนั้นอยากจะลงไปในสระก่อนผู้อื่นอาบน้ำให้หายโรค แต่คิดวิตกนัก ว่าทำไฉนตัวเราจึงจะชิงลงน้ำได้ก่อนคนทั้งปวง เมื่อพระเยซูมาเห็นคนง่อยครั้งนั้น ก็มีพระทัยกรุณานัก จึงตรัสถามว่าท่าน จะใคร่ให้ตัวหายง่อยเป็นดีปกติหรือ คนง่อยจึงตอบว่า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดจะช่วยสงเคราะห์อุ้มลงน้ำก่อนคนทั้งปวงได้เลย ครั้นถึงเพลาน้ำเป็นระลอกแล้ว คนทั้งหลายเข้าชิงลงไปได้ก่อนทุกครั้ง ๆ พระเยซูจึงตรัสว่า จงลุกขึ้นเก็บเอาที่นอนของตัวเดินไปเถิด คนง่อยได้ฟังดังนั้นก็เชื่อถือ ลุกขึ้นเก็บเอาที่นอนของตนเดินไปได้ หายง่อยดี ต่อหน้าคนทั้งปวงเห็นประจักษ์สิ้น ในเพลานั้นเป็นซะบัดโต ฝ่ายพวกยูดายจึงพูดกับคนหายง่อยนั้นว่า วันนี้เป็นวันซะบัดโต เจ้าเอาเครื่องที่นอนไปนี้ผิดกฎหมายแล้ว ผู้หายง่อยจึงตอบว่า ท่านผู้รักษาข้าพเจ้านั้นสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า จงเก็บเอาที่นอนของตัวเดินไปเถิด พวกยูดายจึงถามว่า ผู้ใดสั่งเจ้าว่าให้เอาที่นอนเดินไปเล่า ผู้หายง่อยไม่รู้จักชื่อพระเยซู ก็บอกเขาไม่ได้ เพราะเมื่อขณะนั้นมีคนอยู่มาก อยู่มาหน่อยหนึ่งพระเยซูมาพบเห็น ผู้หายง่อยนั้น อยู่ในวิหาร จึงตรัสแก่คนผู้นั้นว่า แน้เจ้าได้หายง่อยเป็นปกติดีแล้ว อย่าทำความผิดอีกเลย เกลือกจะมีโทษแก่เจ้ามากยิ่งกว่านี้อีก ผู้หายง่อยนั้นจึงรู้จักพระเยซู แล้วก็ไปบอกแก่พวกยูดายว่า ผู้รักษาข้าหายง่อยนั้นชื่อเยซู เหตุฉะนี้ พวกยูดายจึงติเตียนพระเยซู คิดจะใคร่ฆ่าพระองค์เสีย เพราะพระองค์รักษาคนง่อยในวันซะบัดโต ครั้นพระเยซูได้ทราบดั่งนั้น จึงตรัสตอบว่า อันพระบิดาของเราทำการดั่งนี้ทุกวัน เราคือบุตรพระองค์จึงทำบ้าง พวกชาวเมืองยูดายได้ฟังดั่งนั้น ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเก่า ด้วยเขาติเตียนว่า พระเยซูพูดจาเหลือเกิน ยกตัวว่าเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูจึงตอบว่า แท้จริงอันบุตรพระองค์ จะได้ทำการสิ่งใดทั้งปวงนอกจากเยี่ยงอย่างพระบิดาหามิได้ พระบิดาทำฉันใด บุตรพระองค์ก็ทำฉันนั้นด้วย พระบิดาทรงฤทธิบันดาลคนอันตายแล้วให้กลับคืนเป็นขึ้นมาได้ฉันใด เราคือบุตรของพระองค์ก็กระทำได้ฉันนั้นด้วย อันพระบิดามิได้พิพากษาโทษมนุษย์ พระองค์มอบการพิพากษาไว้เป็นธุระแห่งบุตร ด้วยจะให้คนทั้งปวงนับถือบุตรพระองค์ให้เหมือนนับถือพระบิดาเจ้า ถ้าคนผู้ใดไม่นับนับถือรักใคร่บุตรพระองค์แล้ว คนผู้นั้นก็เหมือนไม่นับถือรักใคร่พระบิดา ผู้ใช้ให้บุตรพระองค์ลงมาเหมือนกัน ถ้าผู้ใดฟังเอาคำสั่งสอนเรา แลเชื่อถือในพระบิดาผู้ใช้เรามา คนผู้นั้นจึงจะมีชีวิตจำเริญอยู่ชั่วนิรันดร แลจะมิได้ต้องปรับโทษ แลจะได้พ้นความวินาศฉิบหาย ได้ไปสู่สวรค์ แลพระบิดาเจ้าจึงยอมให้บุตรถืออาชญาสิทธิเหมือนกันกับพระองค์สิ้น อย่าสงสัยเลย นานไปภายหน้าท่านก็จะได้เห็น ฝูงคนทั้งปวงที่ตายฝังอยู่ในหลุมก็ดี ตายอยู่ที่ไหน ๆ ก็ดี คนตายเหล่านั้นก็จะได้ฟังเสียงบุตรพระเจ้าตรัส แล้วก็จะกลับคืนเป็นขึ้นมาจากความตาย มาพร้อมกันในหน้าที่นั่งแห่งบุตรพระองค์สิ้น คนผู้ใดประพฤติดี ก็จะได้เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ คนผู้ใดประพฤติชั่ว ก็จะได้ไปทนทุกข์เวทนาอยู่ในนรก

อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันซะบัดโตอีก พระเยซูเจ้านั่งสั่งสอนคนทั้งหลายอยู่ในโรงธรรม มีคนผู้หนึ่งแขนข้างหนึ่งลีบตายไป มีพวกอาลักษณ์แลฟารีซายนั่งอยู่ในโรงธรรมนั้นด้วย ครั้นเขาเห็นคนพิการแขนลีบแล้ว ก็คอยพิเคราะห์ดูพระเยซู ว่าในวันซะบัดโตนี้ เยซูจะทำให้คนแขนลีบนี้หายหรือไม่ ด้วยจิตปรารถนาจะคอยติเตียน ฝ่ายพระเยซูรู้แจ้งในใจพวกฟารีซายแลพวกอาลักษณ์สิ้น แล้วจึงเรียกคนพิการแขนลีบนั้นมา ในท่ามกลางคนทั้งปวง คนแขนลีบก็ลุกเดินเข้ามาตามพระองค์สั่ง ฝ่ายพวกฟารีซายจึงถามพระองค์ว่า จะรักษาคนโรคในวันซะบัดโตจะชอบหรือไม่ พระองค์จึงตรัสตอบว่า ในวันซะบัดโตจะทำการทำลายชีวิตดีหรือ ๆ หรือจะทำการช่วยชีวิตดี พวกคนทั้งปวงมิได้ตอบประการใดนิ่งอยู่สิ้น พระเยซูจึงถามเขาว่า ในพวกท่านถ้าผู้ใดมีแกะตัวหนึ่งตกลงไปในบ่อในวันซะบัดโต เจ้าของจะไม่ไปช่วยยกมันขึ้นมาหรือ อันชาติมนุษย์ดีกว่าชาติแกะสักเท่าไร แล้วพระองค์จึงตรัสกับคนพิการนั้นว่า จงเหยียดแขนออกเถิด คนพิการนั้นก็เหยียดแขนออกได้เหมือนพระองค์สั่ง แขนลีบนั้นก็หายดีเหมือนแขนข้างหนึ่ง ฝ่ายพวกฟารีซายแลพวกอาลักษณ์เห็นดั่งนั้น ก็ยิ่งทวีเต็มไปด้วยความโกรธมากขึ้น แล้วออกไปข้างนอกปรึกษากันว่า เราจะทำอย่างไรดีจึงจะประหารเยซูเสียได้ พระเยซูก็รู้น้ำใจคนทั้งปวง ว่าเขาคิดจะทำร้ายแก่พระองค์แล้ว พระองค์ก็ออกจากโรงธรรม พาศิษย์ทั้งปวงไปอยู่ริมทะเลสาบคาลิลาย ขณะนั้นมีฝูงคนมากมายมาแต่เมืองคาลิลาย เมืองยูดาย เมืองยรูซาเลม เมืองเอโดม แลบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำยาระเดนฝั่งทิศตะวันออก แลแว่นแคว้นเมืองธูโร แลเมืองซีโดน เมื่อเขาได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ ก็ติดตามมาหาพระองค์ในที่ชายทะเลนั้น คนโรคต่าง ๆ ก็เข้ามาชิงต้องกายพระองค์ โรคก็หายสิ้น คนได้ลำบากด้วยปิสาจเข้าสิงอยู่ในกายนั้น ต่างคนต่างก็เข้ามากราบลงแล้วร้องอื้ออึงว่า ท่านนี้คือบุตรพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเยซูจึงตรัสห้ามเขาว่า อย่าให้ผู้อื่นรู้ว่าเราคือผู้ใดเลย พระองค์ห้ามปรามดั่งนั้น พระไม่พอพระทัยที่จะให้กิตติศัพท์เลื่องลือไป


บทที่ ๑๑

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระเยซูพาสานุศิษย์ทั้งปวงออกจากที่อยู่ ไปถึงภูเขาแห่งหนึ่ง พระองค์จึงขึ้นไปสวดอธิษฐานอ้อนวอนถึงพระบิดาเจ้า ตั้งแต่หัวค่ำไปจนรุ่ง ครั้นสว่างพระองค์จึงตรัสเรียกศิษย์ทั้งปวงเข้ามาพร้อมกัน แล้วเลือกสรรศิษย์ทั้งปวง ได้ศิษย์ผู้ใหญ่สิบสองคน คือซิมน เพชโร ๑ อันตะเรียเป็นพี่น้องกับ เพชโร ๑ ยาโกโบ ๑ โยฮัน ผู้น้อง ยาโกโบ ๑ ฟิลิบ ๑ บาธอละเมอ ๑ มัดธาย ๑ โทมา ๑ ยาโกโบ ผู้เป็นลูกชาย อาละฟาย ๑ เลบเบีย มีชื่อว่า ทาเดีย ๑ ซิมนชาวเมือง คาเนี่ยน ๑ ยุดา อิสะคารด ๑ ศิษย์สิบสองคนนี้พระองค์เลือกสรรไว้ เป็นประธานสำหรับจะได้ติดตามสพระองค์อยู่เป็นนิจ แลพระองค์ตั้งไว้หวังจะให้เป็นพยานแก่มนุษย์ทั้งปวง พระเยซูจึงให้ชื่อศิษย์สิบสองคนนั้นชื่อว่า พวกทูต แล้วพระองค์ก็พาศิษย์ทั้งปวงลงจากภูเขา พอถึงตีนเขา ขณะนั้นฝูงคนเป็นอันมาก มาแต่เมืองยูดาย แลเมืองยรูซาเลม แลเมืองธูดร แลเมืองซีโดน พากันเข้ามาหาพระเยซู ปรารถนาจะฟังคำสั่งสอนพระองค์ แลจะให้พระองค์รักษาโรคทั้งปวงให้หายดีดังแต่ก่อน ขณะนั้น แต่บรรดาคนเจ็บทั้งปวง ต่างคนชิงกันเข้าไปต้องกายพระองค์ คนผู้ใดได้ต้องกายพระองค์เข้าแล้ว โรคคนผู้นั้นก็สูญหายไปสิ้น

ครั้นพระเยซูทอดพระเนตร เห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน พระองค์เสด็จขึ้นภูเขาอีก เมื่อพระองค์นั่งลง พวกศิษย์ก็เข้ามาถึงพระองค์ ๆ แลดูพวกศิษย์ทั้งปวงแล้ว ก็ออกพระโอษฐ์สั่งสอนเขาว่า บุญลาภจะมีแก่คนผู้เจียมตัวถ่อมใจลง เพราะว่าเมืองสวรรค์จะเป็นเมืองของผู้นั้น อนึ่งบุญลาภจะมีแก่ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า เพราะผู้นั้นคงจะได้ความทุเลาบรรเทา อนึ่งบุญลาภจะมีแก่ผู้ประพฤติต่ำตัวอดใจ เพราะผู้นั้นคงได้มรดกแผ่นดิน อนึ่งบุญลาภจะมีแก่ผู้กระหายหาความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มหนำใจ อนึ่งบุญลาภจะมีแก่คนผู้มีใจเอ็นดูปรานี เพราะเขาคงได้ความเอ็นดูปรานีเช่นนั้น อนึ่งบุญลาภจะมีแก่ผู้มีใจบริสุทธิ เพราะผู้นั้นคงจะพบเห็นพระเจ้า อนึ่งบุญลาภจะมีแก่ผู้มีใจระงับดับพยาบาท เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรพระเจ้า อนึ่งบุญลาภจะมีแก่ผู้อดทนแก่ผู้ประทุษร้ายแก่ตัว ด้วยตัวประพฤติชอบธรรม เพราะผู้นั้นคงได้เมืองสวรรค์ อนึ่งบุญลาภจะมีแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าแลมีผู้อื่นมาด่าทอ เคี่ยวเข็ญขับไล่แลแกล้งพาลพาโลใส่โทษต่าง ๆ เอาเปล่า ๆ เหตุเพราะท่านนับถือเป็นศิษย์เรา ให้ท่านชื่นชมดีใจอันยิ่งเถิด เพราะบำเน็จของท่านมีอยู่อุดมบริบูรณ์ในเมืองสวรรค์

อนึ่งท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดิน ถ้าแม้นเกลือนั้นจืดจางไปแล้ว, จะกลับเค็มไปอีกอย่างไรได้. จะทำอย่างไรได้อีก, เว้นเสียแต่ทิ้งไว้ข้างนอกให้คนเยียบย่ำเสีย อนึ่งท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างแห่งโลก. อันเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนกำบังลับอยู่ไม่ได้. อนึ่งคนทั้งปวงเมื่อจุดตะเกียงติดสว่างแล้ว, เขาไม่ได้ใส่ถังบังไว้. เขาเอามาวางบนเชิงตะเกียง, ตั้งไว้ให้สว่างแก่บรรดาคนในเรือนนั้น. เหตุฉะนี้แลให้สว่างแห่งท่าน, สว่างไปต่อหน้ามนุษย์ทั้งปวง. ให้เขาเห็นการดีของท่าน, แล้วเขาจะได้สรรเสริญแก่พระบิดาแห่งท่าน ผู้อยู่บนสวรรค์

อนึ่งท่านทั้งหลายอย่าคิดว่า, เรามาแก้ทำลายซึ่งบัญญัติ แลถ้อยคำแห่งผู้ทำนายเลย. เราจะได้มาแก้ทำลายหามิได้. เรามาเพื่อให้สำเร็จสิ้น. เราบอกแก่ท่านเป็นแท้, ที่ฟ้าแลดินจะล่วงไปก่อนกาลที่บัญญัติ จะเสร็จสิ้นนั้นหามิได้. มาตรแม้นสักพิมพ์หนึ่งสักจุดหนึ่ง, ในบัญญัตินั้นไม่ขาดเลย. เหตุฉะนี้, ถ้าแลผู้ใดจะเอาข้อเล็กน้อยแต่บัญญัติให้ผิด แลสอนคนให้ผิดด้วย, ผู้นั้นจะมีชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยกว่าคนทั้งปวงสิ้น, ในเมืองสวรรค์นั้น. ถ้าผู้ใดประพฤติติดตามบัญญัตินั้น, แลสอนเขาให้ประพฤติติดตามด้วย, ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าบรรดาคนในเมืองสวรรค์. เราบอกแก่ท่านว่า, ถ้าแลท่านมิได้เป็นผู้ชอบธรรมยิ่งกว่าพวกอาลักษณ์ แลพวกฟารีซายแล้ว, ท่านก็จะไม่ได้เข้าไปในเมืองสวรรค์.

อนึ่งท่านได้ยินคำโบราณว่ามาแล้วว่า, อย่าฆ่าคน. ถ้าผู้ใดฆ่าคนเสีย, ผู้นั้นก็จะต้องโทษถึงพิพากษาปรับโทษ แต่เรานี้บอกแก่ท่านว่า, ถ้าผู้ใดโกรธกับพี่น้องด้วยไม่มีเหตุ, ผู้นั้นจะต้องเป็นโทษถึงพิพากษา. ถ้าผู้ใดว่ากับพี่น้องว่า, ไอ้ชาติชั่ว, ผู้นั้นจะต้องเข้าฟ้องแก่ผู้ปรึกษาความแผ่นดิน. ถ้าผู้ใดว่า, ไอ้ขี้หลงผิด, ผู้นั้นจะต้องเป็นโทษถึงไฟนรก. เหตุฉะนี้, ถ้าท่านเอาของบูชาพามาถึงแท่นบูชาแล้ว, ถ้าระลึกขึ้นในที่นั้นว่า, พี่น้องของท่านเป็นความอันใดกับท่าน, ถ้าระลึกขึ้นดั่งนี้, ก็จงละของบูชาไว้ที่หน้าแท่นนั้น, กลับไปดีกับพี่น้องเสียก่อน, แล้วจึงกลับมาบูชาเถิด.

อนึ่งท่านได้ยินคำโบราณว่า, อย่าผิดผัวผิดเมียเขา. แต่เราบอกแก่ท่านว่า, ถ้าผู้ใดแลดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัด, ก็ได้ชื่อว่าผิดกับหญิงนั้นในใจของตัว. ถ้าแม้นว่าตาข้างขวาทำให้ท่านหลงผิด, จงควักตานั้นทิ้งเสียเถิด, เพราะว่าเสียอาการเสียสิ่งหนึ่ง, ดีกว่าไปตกนรกสิ้นทั้งกายชอบหนักหนัก. ถ้ามือข้างขวาเป็นที่ให้ท่านหลงผิด, จงตัดมือข้างนั้นทิ้งเสียเถิด, เพราะว่าเสียอาการเสียสิ่งหนึ่ง, ดีกว่าไปตกนรกสิ้นทั้งกาย. มีคำโบราณว่าไว้ว่า, ผู้ใดอย่าเมียก็ให้ทำหนังสืออย่า, ให้เมียนั้นด้วย. แต่เราสอนท่านทั้งหลายว่า, ถ้าผู้ใดอย่าเมียเพราะเหตุอื่นนอกจากความผิดกับผู้ชายอื่น, ผู้นั้นได้ชื่อว่าทำให้หญิงนั้นได้ความผิดประเวณี. แลชายผู้ซึ่งมาเอาหญิงนั้นเป็นเมียของตน, ชายนั้นก็จัดได้ว่าผิดประเวณีด้วย.

จะอธิบายให้แจ้งว่า, พระเยซูห้ามไม่ให้อย่ากันด้วยความอื่นนอกจากความผิดผัวผิดเมียเลย.


บทที่ ๑๒

อนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำโบราณว่า, อย่าแกล้งทนสบถเลย. แต่ว่าท่านจะต้องถวายแก่พระเจ้า, ตามความที่สบถนั้นทุกสิ่งทุกประการ. ฝ่ายเราสอนแก่ท่านว่า, อย่าสบถเลย. ถึงสบถออกชื่อฟ้าก็อย่าเลย, เพราะฟ้าเป็นที่นั่งของพระเจ้า. ถึงสบถออกชื่อดินก็อย่าเลย, เพราะดินเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า. ถึงสบถออกชื่อเมืองยรูซาเลมก็อย่าเลย, เพราะเป็นเมืองแห่งมหากษัตริย์. ถึงจะสบถออกชื่อศีรษะของตัว, ก็อย่าเลย, เพราะท่านจะทำผมเส้นหนึ่งกลับดำเป็นขาว, กลับขาวเป็นดำก็ไม่ได้. ให้ถ้อยคำของท่านพูดเป็นอันจริง, มีก็ว่ามี, หาไม่ ก็ว่าหาไม่. คำซึ่งพูดมากเกินกว่านั้นแล้ว, เป็นแต่ล้วนชั่วหมด.

ท่านทั้งหลายได้ยินคำที่เขาเล่ามาแต่โบราณว่า, ตาแทนตา, ฟันแทนฟัน. แต่เราสั่งสอนท่านว่า, อย่าทำความผิดตอบความผิดต่อไปเลย. แต่ว่ามีผู้ใดตบแก้มข้างขวาของท่าน ๆ จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย. ถ้ามีผู้โจทท่านต่อตุลาการ แลเขาได้เสื้อของท่านไป. ท่านจงส่งผ้าห่มของท่าน ให้เขาด้วยเถิด. ถ้ามีผู้มาข่มขืนเอาตัวท่านให้ไปกับเขาทางสี่สิบเส้น, ท่านจงไปสิ้นหนทางแปดสิบเส้นเถิด. ถ้ามีผู้มาขอทานจงให้. ถ้ามีผู้มาขอยืมแต่ท่าน ๆ อย่าเมินหน้าเลย. อนึ่งการสิ่งใด ๆ ที่ท่านปรารถนาให้เขาทำให้แก่ท่าน ๆ จงทำสิ่งนั้นให้เขา, ด้วยทุกสิ่งทุกประการ. อันนี้แลถูกต้องกับคำโอวาทแห่งบัญญัติ แห่งบรรดาผู้ทำนายทั้งปวงนั้น.

ท่านทั้งหลายได้ยินคำโบราณว่า, จงรักคนสนิทของตัว, แลให้เกลียดชังผู้เป็นศัตรู. แต่เราสั่งสอนว่า, ให้รักศัตรูของท่าน. แลอวยพรให้แก่ผู้แช่งด่าท่าน. จงทำคุณแก่ผู้เกลียดชังท่าน. แลอ้อนวอนขอพระเจ้าให้โปรดแก่ผู้ทำประทุษร้ายแก่ท่าน ๆ ทั้งหลายทำดังนี้, จึงจะได้ชื่อว่าเป็นลูกแห่งพระบิดาท่านผู้อยู่สวรรค์. พระองค์เจ้าให้แดดส่องสว่างทั่วแก่คนที่ดีแลชั่ว. ให้ฝนตกทั่วแก่คนที่ดีแลชั่ว. ถ้าแลท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน ๆ จะได้บำเหน็จอย่างไร. บรรดาคนบาปมิทำดั่งนี้หรือ. ธรรมดาคนบาปย่อมรักคนที่รักตัว. ถ้าท่านทำการดีแก่คนที่ทำการดีแก่ตัว, จะได้ความชอบอย่างไร. เพราะคนบาปทั้งปวงเคยประพฤติเช่นนั้น. ถ้าท่านให้เขายืมของ ๆ ท่าน ด้วยหมายใจว่า, คงจะได้ของตอบแทน, จะมีความชอบอย่างไร. เพราะคนบาปทั้งปวงมักให้ยืมของ ๆ ตัว, ด้วยหมายใจว่าจะได้ของตอบแทนมากเช่นนั้น. อนึ่งถ้าท่านคำนับแต่พี่น้องพวกเดียว, ท่านทำการชอบอันใดเกินคนทั้งปวงมีบ้างเล่า. คนชั่วทั้งปวงมิทำเช่นนั้นหรือ. เหตุฉะนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นคนรอบคอบ, เหมือนดั่งพระบิดาแห่งท่าน. พระองค์เป็นอันรอบคอบที่สุด.

ท่านทั้งหลายระวังจงดี, อย่าให้ทานต่อหน้ามนุษย์เพื่อจะให้มนุษย์เห็น. ถ้าท่านทำเช่นนั้นท่านจะได้รับบำเหน็จแห่งพระบิดาของท่านที่อยู่สวรรค์นั้นหามิได้. เพราะเหตุฉะนี้ เมื่อท่านจะให้ทานอย่าให้เป่าแตรไปข้างหน้า, เช่นคนทำเทียม ย่อมทำนั้น, ในที่ชุมนุมแลที่หนทาง, ด้วยจะให้เขาชมแลสรรเสริญ. เราบอกแก่ท่านเป็นแท้ว่า, เขาได้รับบำเหน็จสำหรับตัวแล้ว. แต่เราสอนท่านว่า, เมื่อให้ทานนั้น, อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอันใดเลย. เมื่อจะให้ทานนั้น, จงให้ในที่ลับ, พระบิดาของท่านผู้เห็นในที่ลับ, ก็จะพูนบำเหน็จในที่ปรากฏ

อนึ่งเมื่อท่านจะสวดอ้อนวอน, อย่าทำเช่นคนทำเทียมเช่นนั้นเลย, เพราะเขาพอใจยืนสวดภาวนาในที่ชุมชน, แลที่กลางทางสามแพร่ง, ด้วยจะให้มนุษย์เห็น. เราบอกแก่ท่านเป็นแท้ว่า, เขาได้รับบำเหน็จสำหรับตัวแล้ว. ส่วนท่านเมื่อจะสวดอ้อนวอน, จงเข้าในห้องของตัวปิดประตูเสีย, แล้วสวดอ้อนวอนแก่พระบิดาของท่านในที่อันลับ. พระบิดาผู้เห็นในที่ลับนั้น, จึงจะพูนบำเหน็จแก่ท่านในที่ปรากฏ แต่ท่านเมื่อสวดอ้อนวอนอยู่นั้น, อย่าว่าให้มากซ้ำไปเปล่า ๆ เช่นพวกนานาประเทศสวดนั้น. เขานึกว่าพระเจ้าจะได้ฟังเพราะสวดซ้ำมาก. ท่านทั้งหลายอย่าเอาเยี่ยงอย่างคนเช่นนั้นเลย. เหตุว่าแต่ท่านยังไม่ได้ขอนั้น, พระบิดาก็รู้เสียก่อนแล้ว, ว่าท่านจะต้องการสิ่งใด ๆ เหตุนี้ท่านทั้งหลาย จงสวดอ้อนวอนอย่างนี้เป็นต้น, คือ ว่า.

ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพเจ้าทั้งหลาย. ท่านตั้งอยู่ในสวรรค์ ขอโปรดให้พระนามชื่อแห่งพระองค์ท่าน, เป็นที่ยำเกรงนับถือทั่วไป. เมืองที่พระองค์ครอบครองนั้น, , ขอให้มาตั้งอยู่แล้ว. อันความประสงค์แห่งพระองค์นั้น, ขอให้สำเร็จในแผ่นดินโลก, เหมือนได้สำเร็จในสวรรค์. อันอาหารสำหรับเลี้ยงข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวัน ๆ, ขอประทานในการวันนี้. ซึ่งบาปโทษของข้าพเจ้าทั้งหลายนั้น, ขอพระองค์ได้โปรดยกเสีย, เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยกโทษปล่อยคนผู้กระทำผิดแก่ข้าพเจ้า. ขอพระองค์อย่าได้นำข้าพเจ้าทั้งหลายไปในที่ชันสูตรทดลองใจเลย. แต่ขอพระองค์จงโปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลาย, ให้พ้นจากความชั่วร้ายเถิด, เพราะราชสมบัติทั้งปวงนั้นเป็นของพระองค์ท่าน ๆ ได้ทรงฤทธาศักดานุภาพอันยิ่ง. แลซึ่งยศถา ศักดิ์อันรัศมีทั้งสิ้น, ก็เป็นของท่านสืบต่อไปชั่วกัปชั่วกัลป์แล.

อนึ่งถ้าแม้นท่านยกความผิดแห่งมนุษย์แล้ว, พระเจ้าจึงจะโปรดยกความผิดแห่งท่านด้วย. ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเขา, พระบิดาแห่งท่านทั้งหลาย, ก็จะไม่โปรดยกความผิดแห่งท่านเหมือนกัน
อนึ่งเมื่อท่านถือศีลอดอาหาร, อย่าเอาเยี่ยงอย่างคนทำเทียม, ที่คนทำเทียมนั้นมีหน้าเศร้าหมอง, เพราะเขามักทำหน้าเศร้าหมอง เพื่อให้มนุษย์เข้าใจว่าตัวอดอาหารแท้. เราสอนแก่ท่านเป็นความจริงว่า, เขาได้บำเหน็จสำหรับตัวแล้ว. แต่เมื่อท่านจำศีลอดอาหาร, ท่านจงเอาน้ำมันทาหัวแลเอาน้ำล้างหน้าเสีย, เพื่อจะไม่ปรารถนาให้มนุษย์เห็นว่า ท่านจำศีลอดอาหาร. แต่จงปรารถนาจะให้แต่พระบิดาซึ่งอยู่ในที่ลับเห็น. พระบิดาของท่านซึ่งอยู่ในที่ลับนั้น, จึงจะพูนบำเหน็จแก่ท่านให้ปรากฏแท้.


บทที่ ๑๓

อนึ่งท่านอย่าประสมทรัพย์ไว้บนแผ่นดินโลก[6] ที่ตัวสัตว์แลสนิมกัดกินเสียไป, ที่ขโมยแลโจรตัดช่องลักเอาไป. แต่ท่านจงประสมทรัพย์สมบัติท่านไว้ในเมืองสวรรค์เถิด. ที่นั่นแลตัวสัตว์แลสนิมก็จะกัดไม่ได้. ขโมยแลโจรจะไม่เข้าทำลายเข้าลักเอาไปได้. เราสอนดั่งนี้เพราะว่า คลังทรัพย์สมบัติของคนอยู่ที่ไหน, ใจเขาก็ผูกอยู่ที่นั้นด้วย.

อนึ่งตาของตัวเป็นที่สว่างสำหรับตัวไซร้. ถ้าตานั้นเป็นอันดีเห็นตรง, สิ้นทั้งตัวเป็นสุขใสสว่าง. ถ้าตานั้นเป็นอันชั่วมัวมืด, สิ้นทั้งตัวก็เป็นแต่ล้วนมืดไป. ตาที่สว่างสำหรับตัวจะกลับเป็นมืดไป, ความมืดนั้นจะเป็นอันมืดสักเท่าไร.

แจ้งว่า, ตาสำหรับตัวนั้น, คือจิตวิญญาญที่อยู่ในรูปกายทุกคน ๆ. ถ้าจิตวิญญาณนั้นชั่วลามกไป, ก็เป็นมืดหนัก. ไม่ได้พบเห็นทางที่ไปสวรรค์. ไม่ได้ผูกพันธ์กับความสุขที่เมืองสวรรค์เลย. เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด ไม่รู้จักว่าสว่างนั้นอย่างไร จึงไม่อยากได้สว่าง.

คนที่ปรนนิบัติแก่สองนายพร้อมกันไม่ได้. ข้างหนึ่งจะเกลียด, ข้างหนึ่งจะรัก. หรือจะปรนนิบัติข้างหนึ่ง, ข้างหนึ่งจะดูถูก. ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเจ้า, แลปรนนิบัติแก่เงินทองทรัพย์สมบัติพร้อมกันไม่ได้. เหตุฉะนี้เราแก่ท่านทั้งหลายว่า, อย่าปรารมภ์ถึงชีวิตของท่าน, แลรูปกายของท่านก็ดี, ว่าจะเอาอะไรมากิน, เอาอะไรมาดื่ม, เอาอะไรมานุ่งห่ม. อันชีวิตนั้นจะมิใหญ่กว่าของกินหรือ. รูปกายมิใหญ่กว่านุ่งห่มหรือ. ท่านจงแลดูหมู่นกในอากาศเถิด. มันไม่พักหว่าน, ไม่พักเกี่ยว, ไม่ต้องประสมของไว้ในยุ้ง. แต่ว่าพระบิดาท่านทั้งหลายในสวรรค์เลี้ยงมันอยู่. ฝ่ายท่านนี้เล่า, มิดีกว่าหมู่นกนั้นอีกหรือ. ในพวกท่านนี้แต่ละคน ๆ ปรารภปรารมภ์ถึงอายุสม, จะให้ยืนยาวแต่สักโมงหนึ่งจะได้หรือ. เหตุอะไรท่านทั้งหลายจึงปรารมภ์ถึงเสื้อผ้าเล่า. ท่านจงพิเคราะห์ดูดอกซ่อนกลิ่นกลางทุ่งเถิด. มันงอกงามอยู่อย่างไร. มันไม่ทำอันใด. มันไม่ปั่นฝ้ายทอหูก. แต่เราบอกว่า, แม้นถึงพญาชะโลโมในกำดัดสง่าราศี, ก็ยังไม่ได้งามสดใสเท่าดอกไม้นั้นดอกหนึ่งเลย. แต่หญ้าในทุ่งซึ่งเป็นอยู่วันนี้, พระองค์จะไม่ประดับประดาตัวของท่านไว้ดีกว่านั้นอีกหรือ. โอ้คนความเชื่อน้อย. เพราะเหตุฉะนี้, ท่านอย่าปรารภปรารมภ์, ว่าจะได้อะไรมากิน, เอาอะไรมาดื่ม, เอาอะไรมานุ่งห่ม, เพราะว่าพวกนานาประเทศทั้งปวงแสวงหาของดั่งนี้. แลพระบิดาของท่านก็รู้อยู่ว่า. ท่านจะต้องการอยู่ด้วยสิ่งของเหล่านี้ทุกประการ. เหตุฉะนี้ท่านจงแสวงหาเมืองพระเจ้า, แลความชอบธรรมสมกับเมืองนั้นเสียก่อน, แล้วสิ่งของทั้งนี้จะเพิ่มเติมแก่ท่านเป็นอันบริบูรณ์. ท่านทั้งหลายอย่าปรารมภ์ถึงพรุ่งนี้เลย, ถึงพรุ่งนี้ความปรารมภ์สำหรับมีอยู่เอง. ความทุกข์แต่วันหนึ่ง ๆ ก็พออยู่แล้ว.

อนึ่งท่านทั้งหลายอย่าดำริติเตียนนินทาคนผู้อื่น. เขาจึงไม่ติเตียนนินทาท่าน. ท่านจงยกความผิดแก่คนที่ผิดต่อท่าน. เขาก็จะยกความผิดที่ท่านทำผิดต่อเขาด้วย. ท่านจงอุตส่าห์ให้เขา ๆ ก็จะให้แก่ท่านด้วยถังเต็มสันยัดจนล้นพูน. ท่านให้แก่เขาด้วยขนาดอย่างไร, เขาก็จะให้แก่ท่านด้วยขนาดอย่างนั้น. คนตาบอดจะนำคนตาบอดไปได้หรือ, เขามิพากันตกลงในบ่อทั้งสองคนหรือ. เหตุอันใดท่านจึงมาดูสะเก็ดในตาพี่น้อง, แลไม่ได้สังเกตดูไม้ซุงอันใหญ่ที่อยู่ในตาของท่าน. เมื่อไม้ซุงอยู่ในตาของท่าน ๆ ไม่สังเกตดูเลย, เป็นไฉนจะไปบอกกับพี่น้องว่า, ขอให้ข้าเขี่ยสะเก็ดออกจากตาของตัวเถิด. โอ้คนทำเทียมเอ๋ย, จงเอาไม้ซุงออกจากตาของตัวเสียก่อน, แล้วจะเห็นสนัด, จึงจะเขี่ยสะเก็ดออกจากตาของพี่น้องได้.
อนึ่งท่านอย่าเอาของวิเศษทอดให้แก่หมา. อย่าเอาซึ่งพลอยเพชรทิ้งให้แก่หมู. เกลือกว่ามันจะเอาตีนเหยียบย่ำเสีย, แล้วจะกลับมาทำร้ายแก่ท่านอีก.

อนึ่งท่านจงอุตส่าห์อ้อนวอนขอจึงจะได้. ให้แสวงหาจึงจะพบ. ให้อุตส่าห์เคาะจึงจะต้องเปิดให้. เหตุด้วยผู้ใดอุตส่าห์อ้อนวอน, คงจะได้ทุกคน ๆ, ผู้ใดแสวงหา, คงจะพบทุกคน ๆ. ผู้ใดอุตส่าห์เคาะ, คงจะต้องเปิดให้ทุกคน ๆ. ในพวกท่านจะมีผู้ใดถ้าลูกมาขอขนม, ผู้นั้นจะเอาก้อนหินมาให้ลูกหรือ. ถ้าลูกนั้นมาขอปลา, พ่อจะเอางูมาให้ลูกหรือ. พ่อก็ไม่ทำอย่างนั้นเลย. ถ้าแม้นท่านที่เป็นคนชั่ว, ยังรู้หาของที่ดีให้แก่ลูกดังนั้น, ก็พระบิดาของท่านที่อยู่สวรรค์. จะประทานของดีให้แก่ท่านผู้อุตส่าห์อ้อนวอนถึงพระองค์, มากสักเท่าไร.

อนึ่งท่านทั้งหลายจงเข้าไปที่ประตูอันคับแคบ. เพราะว่าประตูกว้าง, แลทางกว้างนั้นเป็นที่นำไปให้ถึงความฉิบหาย. แลคนที่เดินในทางนั้นก็มาก. ฝ่ายประตูคับแคบ, แลทางยากคับแคบนั้น, เป็นที่นำไปสู่ชีวิตชั่วนิรันดร. คนที่พบปะประตูแลทางนั้น, เป็นแต่น้อยตัวคน.

อนึ่งท่านทั้งหลายระวังจงดี คนที่สอนผิด. เขามาปิดตัวด้วยหนังแกะ, ส่วนภายในเป็นหมาใน,หาแต่จะช่วงชิง. ท่านจะรู้จักเขาได้, ก็เพราะกิริยาอาการเขา ๆ จะเก็บลูกองุ่นก็ดี, ลูกมะเดื่อก็ดี, ไม่ได้เก็บแต่ต้นอันมีเสี้ยนหนามดอก. ดั่งนี้ต้นไม้ดีทุกอย่าง. ก็เกิดผลอันดีด้วย. ต้นไม้ชั่วทุกอย่าง, ก็เกิดผลอันชั่วด้วย. ต้นไม้ดีจะเกิดผลชั่วไม่ได้. ต้นไม้ชั่วจะเกิดผลดีไม่ได้. ต้นไม้ที่เกิดผลไม่ได้, ก็ต้องฟันทิ้งไว้ในไฟเสีย. เหตุฉะนี้ท่านจงพิเคราะห์ดูกิริยาอาการของคน, จึงจะรู้จักเขาว่าดีแลชั่ว.

ผู้ใดเรียกเราว่าพระองค์เจ้าข้า ๆ จะได้ขึ้นสวรรค์ทุกคน ๆ หามิได้. แต่บุคคลผู้ใดประพฤติตามน้ำพระทัยพระบิดาเจ้าที่อยู่สวรรค์, ผู้นั้นแลจะขึ้นสวรรค์ได้. ในวันพิพากษาโทษมนุษย์, จะมีคนเป็นอันมาก, มาว่าแก่เราว่า, พระองค์เจ้าข้า ๆ ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้, ได้สั่งสอนออกชื่อของพระองค์ท่าน. แลได้ขับปิสาจออกโดยนามชื่อของพระองค์ท่าน. แลได้ทำการอัศจรรย์มากมายโดยชื่อของพระองค์มิใช่หรือ. ในวันนั้นเราจะบอกแก่เขาว่า, เราไม่รู้จักเจ้าเลย, เจ้าทั้งหลายที่กระทำผิดจงถอยไปจากเราเถิด. เหตุดั่งนี้, ถ้าผู้ใดฟังคำของเรา, แลประพฤติตามคำเราสั่งสอนเช่นนี้, เราจะเปรียบคนนั้นกับคนผู้มีสติปัญญา, ที่มาสร้างเรือนของตนบนหลังพื้นศิลา. ฝนก็ตก, น้ำไหลเชี่ยว, ลมพัดกระทบกระแทกเรือนนั้น ๆ ก็มิได้พังล้มลงเลย, เพราะตั้งมั่นคงอยู่บนพื้นศิลา. ถ้าผู้ใดได้ฟังคำเราสอนนี้, แลไม่ประพฤติตาม, ผู้นั้นก็เหมือนคนโฉดเขลา, ที่มาสร้างเรือนของตนบนหาดทราย. ฝนตกน้ำไหลเชี่ยว, ลมพัดกระทบกระแทกเรือนนั้น ๆ ก็พังทลายลง, เป็นความฉิบหายใหญ่โตนัก.

นี่เป็นคำพระเยซูสั่งสอน, บนภูเขาสิ้นแต่เท่านี้.
ครั้นพระเยซูสั่งสอนดั่งนี้สำเร็จแล้ว, คนทั้งปวงก็เกิดอัศจรรย์ใจถึงคำโอวาทแห่งพระองค์, เพราะว่าพระองค์สั่งสอนเขาโดยฤทธิอำนาจมาก. ไม่เหมือนพวกอาลักษณ์แลพวกนักปราญช์สั่งสอนนั้นเลย. พระองค์ก็เสด็จลงมาจากภูเขา. มีฝูงคนมากมายติดตามพระองค์ลงมาด้วย.


บทที่ ๑๔

ฝ่ายพระเยซูออกจากเชิงภูเขา, เข้าไปสู่บ้านกเพอนะอูม. มีคนเป็นนายหมวดทหารอยู่คนหนึ่ง, เป็นโรคไข้ ให้ชักแทบตาย. ครั้นนายหมวดได้ยินกิตติศัพท์พระเยซู รู้ว่า, พระองค์เข้ามาในบ้านนั้นแล้ว, จึงวานผู้เฒ่าผู้แก่พวกยูดาย, ให้เร่งไปเชิญพระเยซูมารักษาบ่าวของตัว. พวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไปทูลอ้อนวอนพระเยซู, เพื่อจะให้พระองค์รักษาบ่าวของนายหมวดนั้น. เขาว่ากับพระเยซูว่า, นายหมวดคนนั้นสมควรที่พระองค์จะไปช่วยสงเคราะห์, เพราะใจเขาภักดีต่อแผ่นดิน. แลเขาได้สร้างโรงธรรมหลังหนึ่งสำหรับพวกเรา. ฝ่ายพระเยซูรับคำผู้เฒ่าผู้แก่ว่า, เราจะไปรักษาให้หาย. พระองค์ก็ไปกับเขา. ครั้นเกือบจะถึงบ้านนายหมวด ๆ ก็ใช้คนเป็นมิตรสหายไปทูลแก่พระองค์ว่า, พระเจ้าข้าพระองค์อย่าได้ประดักประเดิดมาเลย, เพราะข้าพเจ้านี้ไม่ควร ที่พระองค์จะเข้ามาใต้หลังคาของข้าพเจ้า ๆ คิดว่าตัวข้าพเจ้าไม่สมควรจะไปหาพระองค์, จึงใช้ให้คนไปแทน. ท่านจงออกแต่พระโอษฐ์มาเถิด. บ่าวของข้าพเจ้าคงจะหาย. พระเยซูได้ฟังดั่งนั้น, ก็ประหลาดพระทัย, ด้วยนายหมวดเชื่อถือมาก. พระองค์ก็เหลียวพระพักตร์กลับมาตรัสแก่คนทั้งปวงบรรดาที่ติดตามมา ว่า, เราว่าเป็นแท้ว่า, เราไม่เคยเห็นคนที่นับถือเรามากเหมือนผู้นี้เลย. ในพวกอิศระเอลทั้งปวงนั้นก็ไม่เห็นมีเลย. เราว่าเป็นความจริง, ฝูงคนเป็นอันมากจะมาแต่ทิศตะวันออก, แลทิศตะวันตก, จะมานั่งลงกับอับราฮาม, แลอิศฮากแลยาคบ, ที่ในเมืองสวรรค์, แต่เหล่าลูกหลานชาวเมืองนี้, ก็จะต้องทิ้งอยู่ในที่มืดภายนอกสวรรค์. ในที่นั่นจะมีแต่ร้องไห้กับน้ำตาไหล ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน. แล้วพระองค์ก็ตรัสกับคนใช้ว่า, จงกลับไปเถิด. จะเป็นเหมือนนายหมวดเชื่อถือเรา. ฝ่ายบ่าวของนายหมวดที่เจ็บก็หายในเพลานั้น.

ครั้นเพลารุ่งเช้าพระเยซูกับพวกศิษย์ แลคนทั้งปวงเป็นอันมาก, ก็เดินไปถึงที่กรุงแห่งหนึ่งชื่อนาอิน. ครั้นใกล้จะถึงประตูกำแพงกรุงอันนั้น, ก็ได้เห็นศพคนผู้หนึ่งตายแต่หนุ่ม. เขาก็หามออกจากเมืองจะเอาไปฝังเสีย. มีฝูงคนเป็นอันมากติดตามพระองค์ออกมาด้วย. คนที่ตายนั้นเป็นบุตรชายของหญิงหม้าย. หญิงนั้นมีลูกแต่คนเดียวนั้น. ครั้นพระเยซูเห็นดั่งนั้น, ก็มีพระทัยกรุณา จึงตรัสแก่หญิงหม้ายว่า, อย่าร้องไห้น้ำตาไหลเลย. แลพระองค์ก็เข้าไปยืนใกล้ถูกต้องเครื่องศพที่เขาหามมานั้น. เขาก็หยุดอยู่. พระองค์ก็ร้องเรียกว่า, ชายหนุ่มที่ตายนี้, จงลุกขึ้นเถิด. คนตายนั้นก็ลุกขึ้นนั่งบนหลังโลง. แลพูดจาปรากฏแก่คนทั้งปวง. พระองค์ก็ยกชายหนุ่มนั้นมอบให้แก่มารดา. คนทั้งหลายได้เห็นดั่งนั้น, ก็ยำเกรงในพระเยซูนัก. แล้วสรรเสริญพระเจ้าว่า, อาจารย์ใหญ่บังเกิดในท่ามกลางพวกเราแล้ว. แลพระเจ้าก็ได้โปรดมาเยี่ยมเยียนพลไพร่ของพระองค์แท้. กิตติศัพท์อันนั้นก็ปรากฏไปตลอดเมืองยูดาย แลทั่วแว่นแคว้นทั้งปวงสิ้น

ฝ่ายพวกศิษย์แห่งโยฮันบัพธิศเธครั้นได้เห็นดังนั้น, ก็นำเอาข่าวไปบอกแก่โยฮัน, ผู้เป็นอาจารย์ซึ่งต้องจำอยู่ในคุก. ครั้นโยฮันแจ้งความดั่งนั้น, ก็ยังสงสัยอยู่บ้าง. จึงเรียกศิษย์สองคนมา, เพื่อจะใช้ให้ไปหาพระเยซู. โยฮันจึงบังคับสั่งศิษย์ทั้งสองว่า, ท่านจงไปถามพระเยซูว่า, พระองค์จะเป็นผู้ที่มาต้องกับคำทำนายนั้นแล้วหรือ ๆ ข้าพเจ้าจะคอยดูผู้อื่นอีก. ศิษย์ทั้งสองนั้นครั้นมาถึงพระเยซูแล้ว, จึงทูลแก่พระองค์ว่า, โยฮันบัพธิศเธใช้ให้ข้าพเจ้าทั้งสองมาหาพระองค์, ให้ถามพระองค์ว่า, พระองค์นี้เป็นผู้ที่มาต้องกับคำทำนายแล้วหรือ ๆ จะให้ข้าพเจ้าต้องคอยดูผู้อื่นอีก. ในขณะนั้นพระเยซู ได้กระทำคนที่มีโรคต่างๆ , แลคนที่ปิสาจเข้าสิงอยู่ในกาย, แลคนตาบอดให้หายเป็นอันมาก. ศิษย์แห่งโยฮันที่มานั้น, ก็ได้เห็นการที่พระเยซูกระทำนั้น, พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งสองว่า, ท่านจงกลับไปบอกแก่โยฮันตามที่ท่านได้เห็นได้ฟังเถิด. คือคนตาบอดก็เห็นได้. คนง่อยก็เดินได้. คนเป็นโรคเรื้อนก็หายมีกายสะอาด. คนหูหนวกก็ฟังเสียงได้. คนผู้ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นได้. แลข่าวประเสริฐก็ต้องปรากฏไปทั่วแก่คนยากคนจนทั้งหลาย. ถ้าผู้ใดไม่ขัดเคืองในเรา, ผู้นั้นคงจะได้ความสุขแท้.

แล้วคนทั้งสองก็ลาพระเยซู, ไปหาโยฮัน ในกาลนั้นพระเยซูจึงทูลโมทนาพระคุณพระบิดาว่า. โอ้พระบิดาเจ้าผู้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน. ข้าพเจ้าขอสรรเสริญคุณพระบิดา, เพราะว่าข้อความทั้งนี้พระบิดาได้ซ่อนกำบังไว้, ไม่ให้ผู้เป็นนักปราชญ์แลสติปัญญาล่วงรู้ได้. พระองค์ท่านมาสำแดง แต่คนลูกเด็กเล็กน้อยเป็นดั่งนี้, พระบิดาเจ้าข้า, เพราะพระองค์ชอบพระทัยดั่งนี้.

พระเยซูจึงสั่งสอนต่อไปว่า , สิ่งสารพัดทั้งปวงได้เป็นของข้าพเจ้าเล่า, ก็เพราะพระบิดาเจ้า. นอกจากพระบิดา ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จักบุตรมนุษย์. นอกจากบุตรมนุษย์ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จักพระบิดา, เว้นไว้แต่บุตรมนุษย์จะสำแดงให้ล่วงรู้จัก. บรรดาคนทนลำบากเหน็ดเหนื่อย จง มาหาเรา ๆ เราจะเลี้ยงดูให้สบาย. จงมารับเอาแอกคือข้อปรนนิบัติของเรายกแบกไปเถิด. แลจงมาเรียนแก่เรา, เพราะว่าเราเป็นคนใจอ่อนถ่อมจิตไม่ถือตัว. ท่านจงมาเถิด, แลกิจการของเราที่หนักก็จะเป็นของเบาบาง.


บทที่ ๑๕

ครั้นอยู่มาพระเยซูเที่ยวไป ตลอดเมือง คาลิลาย อีก, เทศนามงคลโอวาทแห่งเมืองพระเจ้า. พวกศิษย์สิบสองคนก็ติดตามไปด้วย. ก็มีฝูงคนติดตามมาแน่นอัดยัดกันไป, ไม่ใคร่มีระหว่างเวลากินข้าวได้. ฝ่ายพวกญาติพี่น้องของพระองค์, เมื่อเขาได้ยินดังนั้น, ก็สำคัญว่า, พระเยซูคลั่งไป. จึงออกไปจะจับตัวคุมไว้. ในขณะนั้นเขาพาคนมีปิสาจเข้าสิงอยู่, ให้ตาบอดไป, ให้เป็นใบ้, พระเยซูจึงรักษาให้เห็นได้, ให้พูดได้. คนทั้งปวงได้เห็นดังนั้นก็อัศจรรย์ใจนัก. ส่วนพวกอาลักษณ์แลพวกฟาริซายไม่เชื่อถือ, ก็ติเตียนพระองค์นัก. ว่าพระเยซูนี้ขับปิสาจได้แต่ฤทธิ บาลาซะบู ผู้ใหญ่ในพวกปิสาจ. พระเยซูจึงสั่งสอนเขาว่า, บุคคลผู้ใดไม่เข้าอยู่ด้วยเรา, ผู้นั้นเป็นฝ่ายศัตรูเรา. ผู้ใดไม่เก็บประสมไว้กับเรา, ผู้นั้นกระทำให้เรี่ยรายกระจัดกระจายไป. เหตุดั่งนี้เราว่าแก่ท่านเป็นคำเที่ยงแท้, ความบาปทั้งสิ้นแลคำหยาบช้าครหาซึ่งคนทั้งปวงกระทำทั้งนั้น, ก็พอจะโปรดได้. แต่ผู้ใดครหาดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ, ก็โปรดไม่ได้เลย, แม้นในกัลป์นี้ก็ดี, ในกัลป์หน้าก็ดี, ก็ไม่โปรดได้. พระเยซูสั่งสอนดั่งนี้, เพราะพวกฟาริซายดูหมิ่นพระองค์ว่า, พระองค์มีปิสาจร้ายเข้าสิงอยู่ในกายพระองค์ ๆ จึงขับผีปิสาจทั้งปวงได้เพราะฤทธิแห่งปิสาจ.

อยู่มาครั้งหนึ่ง, พระเยซูสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ที่ริมฝั่งทะเลคาลิลาย. ยังมีผู้หนึ่งอยู่ในพวกอาลักษณ์, มาหาพระองค์ทูลแก่พระองค์ว่า, พระอาจารย์เจ้าข้า, ข้าพเจ้าจะขอติดตามพระองค์. พระองค์จะไปไหน, ข้าพเจ้าจะขอไปด้วย. พระเยซูจึงตรัสตอบแก่คนผู้นั้นว่า, สุนัขจิ้งจอกนั้นยังมีโพรงเป็นที่อาศัย, นกในอากาศเล่ามันย่อมมีรังอยู่. อันตัวบุตรมนุษย์นี้, แต่สิ่งที่จะหนุนหัวก็ไม่มี. ยังมีคนผู้หนึ่งอยู่ในพวกศิษย์ของพระองค์, มากล่าวอ้อนวอนแก่พระองค์ว่า, ขอพระองค์ได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาเสียก่อน, ข้าพเจ้าจึงจะกลับมาติดตามพระองต่อไป. พระเยซูจึงตรัสแก่คนผู้เป็นศิษย์นั้นว่า, ท่านจงตามเรามาเถิด. ให้ผู้ตายต่อผู้ตายฝังกันเองเถิด.

พระองค์ตรัสดั่งนี้, มีอธิบายความว่า, ถ้าผู้ใดปรารถนาจะเป็นศิษย์พระเยซูแล้ว, อย่าหมายเอาความสุขสบายในชาตินี้เลย. ให้ตั้งจิตรับเอาการที่เป็นการพอพระทัยของพระองค์นั้นเถิด. พึงรู้ว่า, ถ้าเป็นศิษย์ของพระองค์แล้ว, ต่อล่วงไปชาติหน้าจึงจะรุ่งเรืองในสวรรค์เป็นนิจถาวร, เพราะเดชกุสลแห่งพระเยซูเจ้า. อนึ่งถ้าผู้ใดปรารถนาจะได้พระเยซูเป็นที่พึ่งแล้ว, อย่าคอยท่าสิ่งใด ๆ เลย, เพราะกลัวจะตายเสียก่อนไม่ทันได้เป็นศิษย์.

ครั้นถึงเพลาเย็น พระองค์, ก็ลงไปในเรือกับพวกศิษย์, เพื่อจะข้ามทะเลสาบคาลิลาย, ไปฝั่งตะวันออก. ครั้นแล่นใบไปถึงกลางทะเลพระองค์นอนหลับอยู่ในเรือนั้น. ก็บังเกิดพายุกล้าระลอกใหญ่นัก. ซัดตีน้ำเข้าเรือหนักหนา, จนเรือเกือบจะจม. พวกศิษย์ทั้งปวงตกใจกลัวนัก. จึงพากันไปปลุกพระเยซูข้างท้ายเรือ, ทูลว่าพระเจ้าข้า, พระองค์ไม่ได้เอาใจใส่หรือ. ขอพระองค์ได้ทรงเมตตาช่วย. ด้วยลมพายุกล้าระลอกซัดหนัก. ถ้าพระองค์ไม่ช่วยแล้วพวกข้าพเจ้าก็จะพากันฉิบหายอยู่ในท้องทะเลสิ้น. พระเยซูจึงตอบว่า, ท่านทั้งหลายมีความกลัวทำไมเล่า. อันตัวท่านทั้งปวงตกใจหนักครั้งนี้, ก็เพราะท่านเชื่อถือเรายังน้อยอยู่. ว่าแล้วพระองค์ก็ลุกขึ้นตรัสแก่ระลอกว่า, จงสงบไปเถิด. พอตรัสขาดคำลงพายุแลระลอกก็หาย, ลมก็เงียบนัก. พวกศิษย์ทั้งปวงเห็นดั่งนั้น, ก็กลัวเกรงมาก. ต่างคนต่างพูดกันว่า, ท่านผู้นี้นี่เป็นอย่างไรหนอ, จึงห้ามคลื่นห้ามลมได้.

ครั้นลมดีมีมา, เขาก็แล่นข้ามฟากไปถึงแว่นแคว้นเมืองคดารา. แล้วพระเยซูขึ้นจากเรือ, เดินไปที่ทางแห่งหนึ่ง. ยังมีคนผู้หนึ่งได้ความลำบากเพราะปิสาจร้ายหลายพวกเข้าสิงประจำอยู่ในกาย, ทำให้คนนั้นเสียจริตวุ่นวายร้ายกาจแข็งแรงนัก. พวกพ้องพี่น้องเขาชวนกันจับตัวใส่โซ่ลั่นแหล่งใส่ประแจไว้. มันมักหักโซ่ประแจ, หนีไปได้หลายครั้ง. เคยไปนอนเปลือยกายอยู่ที่หลุมฝังผี, แลที่ภูเขา. แล้วมันเอาก้อนหินคม ๆ เข้าเชือดเนื้อเถือหนังตัวมันเอง, ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน. มันก็เป็นร้ายกาจนัก. คนไม่อาจจะเดินไปมาที่นั่นได้เลย, เพราะเขากลัวมัน. ครั้นมันเห็นพระเยซูเดินมาแต่ไกล, มันก็วิ่งเข้าไปหากราบลงตรงหน้าพระองค์. แล้วมันร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า, ท่านเยซูผู้เป็นบุตรพระเจ้าผู้ใหญ่ที่สุดเอ๋ย, ท่านมานี่ด้วยธุระอันใดกับข้าพเจ้า. ท่านอย่าทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าเลย. มันกล่าวดั่งนั้น, เพราะพระองค์สั่งปิสาจให้ออกจากตัวมัน. พระเยซูจึงถามว่าเองชื่ออะไร. ผู้นั้นจึงบอกว่าข้าชื่อเลกีโอน เพราะเราเป็นหลายจำพวก. บอกแล้วผู้นั้นจึงว่า, ถ้าแม้นจะขับไล่ข้าพเจ้าทั้งหลายแล้ว, ก็อย่าให้ข้าพเจ้าไปตกอยู่ในท้องทะเลเลย. ยังมีฝูงหมูอยู่ใกล้ที่นั่น, เขาเลี้ยงไว้บนภูเขา. พวกปิสาจจึงอ้อนวอนพระองค์ว่า, ถ้าพระองค์จะขับไล่ข้าพเจ้าเสียแล้ว, จงยอมให้ข้าพเจ้าเข้าไปสิงในฝูงหมูนี้เถิด. พระเยซูก็ยอมให้ตามชอบใจมัน. แล้วฝูงปิสาจก็ออกจากกายผู้นั้น, แล้วก็เข้าไปสิงอยู่ในตัวฝูงหมูทั้งปวง. ฝูงหมูก็วิ่งวุ่นวายไปตกภูเขาลงในทะเล, จมน้ำตายสิ้น. ฝูงหมูนั้นนับประมาณได้สองพันตัว. ฝ่ายคนผู้เลี้ยงหมูครั้นเห็นดั่งนั้น, ก็กลัวนัก, วิ่งหนีไปบอกความแก่เพื่อนบ้าน, ให้รู้ข่าวทั่วกัน. ชาวบ้านทั้งปวงรู้เหตุดั่งนั้นแล้ว, ก็ชวนกันออกไปหาพระองค์. เมื่อได้เห็นฝูงหมูตกน้ำตายไปเสียหมด, แลคนที่ปิสาจเข้าประจำตัวอยู่นั้น, นั่งอยู่มีผ้านุ่งผ้าห่ม, จิตใจสบายปกติดั่งนั้น, เขาก็คิดกลัวนัก. จึงมาอ้อนวอน, ให้พระองค์ไปเสีย, ให้พ้นจากแว่นแคว้นบ้านของตัว. ฝ่ายพระองค์ก็กลับเข้าในเรือ คนที่ปิสาจออกโรคหายนั้น, ก็มาทูลอ้อนวอนพระองค์เพื่อจะไปด้วย. ส่วนพระเยซูไม่ยอม. จึงตรัสแก่คนผู้นั้นว่า. จงกลับไปบ้านที่เพื่อนบ้านของตัวอยู่เถิด. แล้วจงบอกเล่าความที่พระเจ้ากรุณาเมตตาแก่ตัวนั้นด้วย. คนผู้นั้นก็ลาพระองค์กลับไปเมืองชื่อเดกาโปลิ. แลได้ป่าวประกาศความทุกประการตลอดเมือง. คนทั้งปวงได้ฟังก็ประหลาดใจหนักหนา.


บทที่ ๑๖

อยู่มาเพลาวันหนึ่ง, พระองค์ข้ามทะเลสาบกลับมาบ้านของพระองค์. มีเพื่อนบ้านลงมาคอยรับพระองค์อยู่ที่ชายทะเลนั้นมากมาย. ขณะนั้นยังมีผู้เป็นนายโรงธรรมคนหนึ่งชื่อไยโร. ลงมาคอยรับพระองค์ด้วย. จึงเข้าไปกราบลงแล้วทูลว่า, บุตรหญิงข้าพเจ้ามีคนเดียว, ป่วยนักแทบจะตาย. ขอเชิญพระองค์ลงไปเอาพระหัตถ์ต้องกายบุตรของข้าพเจ้า, ให้หายเถิด. พระองค์ก็ลุกขึ้นเดินไปตามทาง. พวกศิษย์แลฝูงคนเป็นอันมากติดตามพระองค์ไปด้วย. ยังมิทันถึงบ้านคนป่วยนั้น, ยังมีหญิงผู้หนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีแล้ว.  หญิงนั้นทนทุกข์ลำบากมาช้านาน, ได้หาหมอรักษาเป็นหลายคน.  แต่ต้องเสียเงินค่าหมอจนตัวยากจนเข็ญใจลง.  โรคนั้นก็ไม่หาย, ไม่ใคร่บรรเทาเลย.  ยิ่งกลับกำเริบขึ้นทุกวัน ๆ ครั้นหญิงนั้นได้ยินกิตติศัพท์แห่งพระเยซู, ก็เข้ามาในฝูงคนในเบื้องหลังพระเยซู, มาจับต้องตะเข็บผ้าห่มของพระองค์.  ด้วยหญิงผู้นั้นคิดว่า, ถ้าเราได้ถูกต้องผ้าห่มของพระองค์. คงจะหายโรคเป็นปกติ.  ในขณะนั้นโลหิตแห่งหญิงนั้น,  ก็หยุดแห้งหายไปสิ้น. หญิงนั้นก็รู้ตัวว่าตัวหายโรคดีแล้ว.  ฝ่ายพระเยซูก็รู้ในพระทัยว่า, อำนาจของพระองค์แผ่ออกจากพระกายแล้ว.  พระองค์ก็เหลียวหลังกลับหน้ามาในฝูงคนนั้น,  แล้วตรัสถามว่า, ผู้ใดได้ถูกต้องผ้าห่มแห่งเราบ้าง.  พวกศิษย์ทั้งปวงจึงทูลแก่พระองค์ว่า, ฝูงคนเบียดเสียดกันเป็นอันมาก.  เหตุไฉนพระองค์, จึงมาถามว่า, ผู้ใดมาถูกต้องผ้าห่มแห่งเราบ้าง ดังนี้เล่า.  พระเยซูก็ทอดพระเนตรไป, เพื่อจะดูว่าผู้ใดมาถูกต้องพระองค์.  ฝ่ายหญิงผู้นั้นรู้ว่าจะซ่อนตัวไม่ได้ จะปิดไว้ก็ไม่พ้น, ก็เกิดความวิตกกลัวตัวสั่น. จึงมากราบลงต่อหน้าพระองค์, แจ้งความจริงทั้งสิ้นให้พระองค์ทราบ.  พระองค์จึงตรัสแก่หญิงนั้นว่า, บุตรีเอ๋ย, ท่านก็ได้หายโรคของตนเพราะความที่ได้เชื่อถือในเรา.  จงไปเป็นสุขสบายหายโรคของท่านเถิด.

เมื่อพระองค์ตรัสกับหญิงมิทันขาดคำ, พอคนผู้หนึ่งมาจากบ้านแห่งนายโรงธรรมนั้น, มาบอกว่า, บุตรหญิงของท่านที่ป่วยนั้นตายเสียแล้ว.  จะให้พระอาจารย์ต้องประดักประเดิดด้วยเดินไปทำไมเล่า.  พระเยซูได้ยินดั่งนั้น, จึงว่ากับบิดาหญิงนั้นว่า, ท่านอย่าเป็นทุกข์เลย.  จงเชื่อถือเราเถิด.  บุตรท่านก็จะรอดดอก.  ว่าแล้วก็พากันเดินมา.  ครั้นถึงบ้านคนตายนั้น, ได้เห็นคนอื้ออึงเป่าปี่ตีกลองประโคมสรรพเสียงเซ็งแซ่, แลร้องไห้น้ำตาไหลนัก.  พระเยซูจึงได้เข้าไปในเรือนนั้น, แลให้ตัวเพชโร แล ยาโกโบ แลโยฮัน เข้าไปด้วย.  พระองค์จึงถามว่า,  เขามาเป่าปี่ตีกลองอื้ออึงอยู่ฉะนี้ทำไม?  อันหญิงนี้ยังไม่ตาย.  แต่เขานอนหลับสนิทอยู่ดอก.  ที่พระองค์ตรัสว่าหญิงนั้นยังไม่ตาย, คือ จิตวิญญาณหญิงไม่ดับไม่สูญ.  แต่คนทั้งปวงเมื่อได้ฟังดังนั้น, เขาคิดว่าพระองค์สำคัญว่ารูปกายหญิงนั้นไม่ตาย, จึงตรัสดั่งนั้น.  เขาก็ชวนกันหัวเราะเยาะเย้ยพระองค์,  ด้วยเขารู้แน่ว่าหญิงนั้นตายจริงแล้ว.  พระเยซูเห็นดั่งนั้นจึงขับไล่คนทั้งปวงออกไปเสียสิ้น.  ให้อยู่ด้วยพระองค์แต่เพชโรแลยาโคโบแลโยฮันทั้งสามคน, กับบิดามารดาคนตายนั้นด้วย.  แล้วพระองค์จึงเข้าไปจับที่มือคนตายนั้น.  แล้วจึงตรัสว่า, ธาลิธาคูมิ.  แปลว่า หญิงสาวเอ๋ยจงลุกขึ้นเถิด.  ขณะนั้นจิตแห่งหญิงที่ออกจากกายแล้ว,  ก็กลับมาเข้าร่างกายดังเก่า.  หญิงนั้นมีอายุสมได้สิบสองปี.  ก็ลุกขึ้นเดินไป.  พระองค์จึงสั่งให้เขาเอาอาหารมาให้เด็กคนนั้นกิน.  เขาก็ทำตามพระองค์สั่ง. เด็กก็กินต่อหน้าคนทั้งปวงเห็นพร้อมกันสิ้น.  คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก.  กิตติศัพท์ก็เลื่องลือไปตลอดในประเทศนั้นสิ้น.

ครั้นพระเยซูออกจากบ้านนั้น, เดินไปกลางทาง, มีคนตาบอดทั้งสองข้างสองคน, เดินตามพระเยซูไปเบื้องหลัง. คนตาบอดจึงร้องว่า.  ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุตรพญาดาวิด, ขอท่านจงเอ็นดูโปรดข้าพเจ้าด้วยเถิด.  พระเยซูมิได้ตอบประการใด. ก็นิ่งเดินไปถึงบ้านแห่งหนึ่ง.  คนตาบอดนั้นก็อุตส่าห์เดินตามไปจนถึงบ้านนั้นด้วย. พระเยซูจึงถามว่า,  ตัวท่านนับถือว่า, เรามีฤทธิอาจรักษาตาท่านให้หายได้หรือ.  คนตาบอดจึงตอบว่า,  ข้าพเจ้าได้เชื่อถืออยู่พระเจ้าข้า.  พระเยซูได้ฟังดั่งนั้น, ก็เอามือไปต้องเข้าที่ตาคนทั้งสอง.  แล้วจึงตรัสว่า,  จงสำเร็จแก่ท่านเหมือนที่ท่านได้เชื่อถือเราเถิด.  คนทั้งสองก็หายตาที่มืดก็สว่างเห็นดี.  พระเยซูจึงห้ามคนทั้งสองเป็นแม่นมั่นว่า,  เจ้าอย่าให้เหตุอันนี้แพร่งพรายไปเลย. แต่คนที่หายโรคนั้นก็เที่ยวป่าวกิติศัพท์ตลอดทั่วเมืองทั้งปวง.

ฝ่ายพระเยซูก็ออกจากบ้านั้นเดินไป,  พบคนผู้หนึ่งพาคนใบ้พูดไม่ออกเพราะปิสาจร้ายเข้าสิงอยู่, มาหาพระเยซูให้รักษา.  พระเยซูเห็นแล้วก็ขับปิสาจ, ให้ออกจากกายคนนั้นเสีย.  คนผู้นั้นก็หายใบ้พูดออกได้เป็นปกติ.  คนทั้งปวงเห็นดั่งนั้นก็นับถือพระเยซูนัก.  เขาพูดกันว่า, ในพวกอิศระเอลเราไม่เคยเห็นการอัศจรรย์เช่นนี้เลย.  แต่พวกฟาริซายไม่นับถือ, ด้วยมีจิตอิจฉา, จึงพากันพูดว่า, เยซูทำได้ทั้งนี้มิใช่อำนาจของตัวเอง.  ทำได้ด้วยอำนาจฤทธินายปิศาจดอก.


บทที่ ๑๗

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระองค์เรียกศิษย์ผู้ใหญ่สิบสองคนเข้ามาพร้อมกัน. แล้วพระองค์ก็ใช้ศิษย์ทั้งปวงนี้ออกไปแห่งละสองคน ๆ. ให้เที่ยวไปสั่งสอนคนทั้งปวงให้รู้ว่า, พระเยซูเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ให้พ้นโทษ. ถ้าผู้ใดนับถือเป็นศิษย์พระองค์ ๆ ก็จะให้รอดพ้นจากโทษไม่ให้ไปสู่นรก. แล้วพระเยซูประทานให้ศิษย์สิบสองคนนั้น, มีฤทธิอาจจะทำการอัศจรรย์ได้. ให้ไปเที่ยวรักษาคนเจ็บคนไข้ต่างๆ ให้หาย. แลให้กระทำคนตายให้กลับเป็นขึ้นมาได้. แล้วพระองค์กำชับว่า, ท่านอย่าไปรักษาเอาเงินสินจ้างเขาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย. อันคุณแลฤทธินี้เราให้แก่ท่านเปล่าๆ ก็จงไปรักษาให้เขาเปล่าๆ เหมือนกันจึงจะดี. ดูเถิด, เราใช้ท่านให้ออกไปเหมือนตัวแกะในกลางฝูงหมาใน. เหตุฉะนี้ท่านจงเป็นคนฉลาดเหมือนงู. และเป็นคนซื่อเหมือนนกพิราบ. แต่ท่านจงระวังมนุษย์. เพราะเขาจะมอบท่านให้ที่ปรึกษา. แลเขาจะเฆี่ยนท่านในโรงธรรม. แลจะคุมท่านพาไปถึงเจ้าพญา. แลถึงมหากษัตริย์เพราะเห็นแก่เรานี้, ให้เป็นพยานแก่เขา, แลแก่พวกนานาประเทศ. แต่ว่าเมื่อเขาจะมอบท่านไว้, อย่าสาละวนว่า, จะพูดอย่างไรดี. ด้วยว่าควรท่านจะพูดอย่างไร. ก็จะให้ท่านรู้ในเวลานั้น. เพราะที่พูดนั้นมิใช่ท่าน. คนทั้งปวงจะชังท่าน, เพราะนามชื่อของเรานี้. แต่บุคคลจะทนเอาตั้งอยู่จนปลาย, ผู้นั้นจะรอดพ้น. ท่านทั้งหลาย, อย่ากลัวบรรดาที่ฆ่าประหารแต่รูปกาย, ส่วนวิญญาณจิตนั้นเขาฆ่าไม่ได้. แต่ว่าจงกลัวท่าน, ผู้มีฤทธิเดชให้วิญญาณกับทั้งกาย, ให้ฉิบหายในนรกได้. ถ้าผู้ใดจะรับเราต่อหน้ามนุษย์, เราจะรับผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาเราที่อยู่สวรรค์เหมือนกัน. ส่วนผู้ใดปฏิเสธเรา, มิรับต่อหน้ามนุษย์, เราก็จะปฏิเสธผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาที่อยู่สวรรค์เหมือนกัน. ถ้าผู้ใดจะรักษ์บิดา, หรือมารดายิ่งกว่าเรา, ผู้นั้นไม่สมควรกับเรา. ถ้าผู้ใดรักษ์บุตรา, หรือบุตรียิ่งกว่าเรา, ผู้นั้นไม่สมควรกับเรา. ถ้าผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนแลตามหลังเราไป, ผู้นั้นไม่สมควรกับเรา. ถ้าผู้ใดทำให้ชีวิตของตัวรอด, ผู้นั้นก็จะทำให้ชีวิตเสียไปแท้. ถ้าผู้ใดจะสู้เสียชีวิตของตัวเพราะเห็นแก่เรา, ชีวิตของผู้นั้นก็จะรอดแล. ถ้าผู้ใดได้รับท่านไว้ ผู้นั้นก็เหมือนรับเราแล. ถ้าผู้ใดรับเรา, ก็เหมือนรับท่านผู้ใช้เรามา. ถ้าผู้ใดจะเอาน้ำเย็นจอกหนึ่ง, ให้แก่ผู้เล็กน้อยในพวกนี้, ให้กินเพราะเป็นศิษย์เรานี้, เราว่าแก่ท่านเป็นอันแท้, คนนั้นจะไม่เสียบำเหน็จเลย. พระเยซูบังคับศิษย์ดังนี้แล้ว, ศิษย์ทั้งปวงก็ลาพระองค์เที่ยวไปในประเทศอิศระเอล, ทำตามพระเยซูสั่งทุกประการ.

 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งถึงวันกำเนิดแห่งพญาเฮโรด. เป็นธรรมเนียมคนนับถือวันเกิด. พญาเฮโรดจึงชวนผู้เฒ่าผู้แก่นอกสกุลแลในสกุล, มากินโต๊ะด้วยกัน. ต่างคนต่างกินโต๊ะสบายอยู่. ขณะนั้นนางซาโลมะ, ผู้เป็นบุตรเลี้ยงของพญาเฮโรด, เป็นบุตรติดมากับนางเฮโรเดีย, ผู้เป็นภรรยาพญาเฮโรด, จึงเข้ามาเต้นรำให้พญาเฮโรดแลคนทั้งปวงดู. ครั้นพญาเฮโรดเห็นก็ชอบพระทัยนัก. จึงตรัสแก่หญิงลูกเลี้ยงว่า, เจ้าต้องการสิ่งใดๆ, ก็จงบอกมาเราจะให้, ถึงกึ่งราชสมบัติของเราๆก็คงจะให้. หญิงนั้นก็กลับเข้าไปถามมารดาว่า, เราจะเอาสิ่งใดดี. มารดาจึงว่า, เจ้าจงไปบอกกับบิดาว่า, จะต้องการศรีษะโยฮัน, ให้ตัดใส่โตกเข้ามาให้. หญิงนั้นจึงไปบอกกับพญาเฮโรดตามคำมารดาสั่ง. ฝ่ายพญาเฮโรดได้ฟังดังนั้น, ก็ตกใจเป็นทุกข์นัก. จึงคิดว่า, ครั้นจะไม่ยอมให้, ก็กลัวจะเสียคำที่ได้ให้สัญญาไว้แก่เด็กต่อหน้าคนทั้งปวง. คิดแล้วจึงตรัสใช้เพชฌฆาต, ให้ออกไปตัดเอาศรีษะโยฮันเข้ามาให้แก่หญิงนั้น. พวกเพชฌฆาตก็ออกไปตัดศรีษะโยฮัน, ใส่โตกเข้ามาให้แก่หญิงนั้น, ตามคำพญาเฮโรดสั่ง. หญิงนั้นจึงยกโตกศรีษะโยฮันไปให้แก่มารดา คือ นางเฮโรเดีย. ฝ่ายลูกศิษย์ของโยฮัน, ครั้นรู้ว่าอาจารย์ตายเสียแล้ว, จึงพากันเข้ามา, ขอเอาศพโยฮันไปฝังที่อุโมงค์. แล้วก็เอาเนื้อความไปบอกแก่พระเยซูให้ทราบ ๆ แล้วพระองค์ก็พาพวกศิษย์ ลงเรือข้ามฟากไปสู่ที่สงัด, นมัสการอ้อนวอนถึงพระบิดาเจ้า, แลสั่งสอนศิษย์ทั้งปวงอยู่ในที่นั่น.

ครั้นอยู่มาพญาเฮโรดได้ยินกิตติศัพท์แห่งพระเยซู, ก็ทุกข์ร้อนมีความสงสัยนัก. เพราะลางคนพูดว่า, พระเยซูนั้น, คือโยฮันเป็นขึ้นมาจากความตาย. ลางคนพูดว่าเป็น เอลียา, ที่เป็นผู้ทำนายตายไปก่อนนั้น, กลับเป็นขึ้นมาจากความตายมาสำแดงฤทธิ. พญาเฮโรดจึงตรัสแก่คนเหล่านั้นว่า, ตัวโยฮันนั้นเราก็ตัดศรีษะเสียแล้ว คนผู้นี้จะเป็นผู้ใดเล่าหนอ. เห็นจะเป็นโยฮันแท้. จึงสำแดงการอัศจรรย์ใหญ่หลวงได้เช่นนี้. แล้วพญาเฮโรดปรารถนาจะใคร่พบพระเยซู, จะให้สิ้นความสงสัย


บทที่ ๑๘

อยู่มาวันหนึ่งศิษย์ทั้งสิบสองคน, กลับมาบอกความที่ตัวไปรักษาคนเจ็บ, แลได้สั่งสอนคนชั่วให้กลับดี แลกิจการทั้งปวง, ให้พระเยซูผู้เป็นอาจารย์ฟังทุกประการ. แล้วพระเยซูก็พาศิษย์สิบสองคนออกไปอยู่ที่สงัด, ปรารถนาจะให้ศิษย์ที่เหนื่อยมาหยุดพักสบาย. เพราะว่าที่อยู่นั้นอื้ออึงด้วยคนไปมาหานัก จึงพาศิษย์ทั้งปวงลงเรือข้ามทะเลสาบคาลิลาย, ไปถึงฝั่งเข้าในป่าแห่งหนึ่ง, เป็นที่สงัดชวนกันหยุดหยู่. ฝ่ายคนทั้งปวงรู้ว่า, พระเยซูไปจากที่นั่น ต่างคนต่างตามไปหาจนถึงที่อยู่พระเยซูนั้น. พระเยซูเห็นคนทั้งปวง, อุตส่าห์ตามไปครั้งนั้น, ก็มีพระทัยกรุณาแก่คนทั้งปวง, เพราะเขาเปรียบเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยงไว้. แล้วพระองค์ก็สั่งสอนคนเหล่านั้นให้รู้จักผิดแลชอบ. แลรักษาให้หายโรคต่างๆ แล้วพระองค์ขึ้นนั่งอยู่บนภูเขา, สั่งสอนศิษย์อยู่ที่นั่น. มีฝูงคนทั้งปวงตามมาฟังด้วยเป็นอันมาก. เมื่อเกือบจะถึงเพลาค่ำ, พวกศิษย์ก็มาทูลพระองค์ว่า, ที่นี่เป็นที่กันดาร. เพลานี้เกือบจะเย็น. ท่านจงโปรดให้ฝูงคนเหล่านี้ไปในบ้านเมืองซื้ออาหารกิน, เพราะเขาไม่มีอะไรจะกิน. พระองค์จึงตอบว่า, ท่านจงไปเอาของกินมาให้เขาเถิด. พวกศิษย์ทั้งปวงจึงตอบว่า, พระองค์จะให้ข้าพเจ้าไปซื้ออาหารราคาถึงห้าสิบบาท, มาให้เขากินหรือ. พระองค์จึงตอบว่า, ท่านมีขนมอยู่กี่อัน. ศิษย์ทั้งหลายจึงทูลว่า, ยังมีขนมอยู่ห้าอัน กับปลาเล็กน้อยอยู่สองตัว. แต่ของกินเท่านั้น, จะพอเลี้ยงฝูงคนมากมายดั่งนี้ที่ไหนได้. พระเยซูจึงว่า, ท่านจงไปเอาของกินนั้นมาให้เราเถิด. พวกศิษย์ก็เอามาให้. พระเยซูก็สั่งให้คนทั้งปวงนั่งเรียงกัน, ที่ต้นหญ้าอันเขียวสด. ให้นั่งอยู่พวกละห้าสิบคน. พวกศิษย์ก็ทำตามพระองค์สั่งสิ้น. แล้วพระเยซูก็เอาขนมกับปลามาถือไว้, แล้วเงยหน้าขึ้นบนอากาศ, สวดอธิษฐานถึงพระบิดาเจ้า. จึงหักขนมปังกับปลา, ส่งให้พวกศิษย์ไปแจกแก่คนทั้งปวงให้ทั่วกัน. พวกศิษย์ก็รับไปแจกตามสั่ง. คนทั้งปวงได้รับประทานอาหารอิ่มทั่วกันสิ้น. ครั้งนั้นฝูงคนนับแต่ผู้ชาย, ได้ถึงห้าพัน, ยังมีผู้หญิงแลเด็กเป็นอันมากนัก, ได้กินขนมนั้นแต่หาได้นับไม่. ครั้นพระเยซูแจกขนมแก่คนทั้งปวงแล้ว, ขนมยังเหลืออยู่. จึงสั่งให้พวกศิษย์เอามาเก็บไว้. พวกศิษย์ก็เอากระบุงมาใส่ขนมแลปลาที่เหลือนั้น, ได้สิบสองกระบุงเต็มๆ คนทั้งปวงได้เห็นดังนั้น, ก็อัศจรรย์ใจนัก. จึงพูดกันว่า, คนนี้เห็นจะเป็นคนที่ในหนังสือทำนายว่า, จะลงมาสู่แผ่นดินโลกนี้. แลเขาอยากจะเชิญพระองค์ไว้, เป็นเจ้านายของตัว. ครั้งนั้นพระเยซูก็รู้ในจิตคนทั้งปวงคิดสิ้น, พระองค์จึงสั่งให้ศิษย์ทั้งปวงลงเรือกลับข้ามทะเลสาบไปบ้านแห่งพวกศิษย์, แลให้คนทั้งปวงเขากลับไปบ้านเขาสิ้น. แต่พระเยซูองค์เดียวเที่ยวไปในป่าที่ภูเขาแห่งหนึ่งเป็นที่สงัดเงียบ. ก็หยุดสวดอธิษฐานถึงพระบิดา, อยู่ที่นั่นจนเพลาค่ำ.

ในเพลาค่ำวันนั้น, พวกศิษย์พระเยซูข้ามไปถึงกลางทะเลสาบ, เพลานั้นมืดพยับลมหนัก. บัดเดี๋ยวใจก็เกิดลมพายุใหญ่. คลื่นจัดซัดเอาเรือโคลงเคลง. ศิษย์ทั้งปวงตีกรรเชียงลำบากแต่หัวค่ำจนสามยาม, ก็ไม่ถึงฝั่ง. มาได้ประมาณร้อยสามสิบเส้น. เขาวิตกเป็นทุกข์นัก, เพราะอาจารย์ของตัวมิได้มาด้วย. ขณะเมื่อเขาเป็นทุกข์อยู่นั้น, ศิษย์ทั้งปวงได้แลเห็นพระเยซูเดินมาบนหลังน้ำ, มาใกล้จะถึงเรือ. พวกศิษย์ก็ยิ่งพากันตกใจกลัวมากขึ้น. แล้วชวนกันร้องอึง, เพราะเขาสำคัญว่าผีมาหลอก. พระเยซูจึงร้องบอกพวกศิษย์ว่า, ท่านทั้งหลายจงชื่นชมสบายเถิด. ตัวเราคือเยซูอย่าวิตกเลย. ขณะนั้นพวกศิษย์ยังสงสัยอยู่. ส่วนเพชโรจึงร้องทูลว่า, ถ้าแม้นท่านเป็นพระเยซูแท้แล้ว, ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้านี้เดินบนน้ำไปหาท่านได้. พระเยซูจึงตรัสว่า. จงมาเถิด. เพชโรก็ลงจากเรือเดินไปบนน้ำ, เพื่อจะไปถึงพระเยซู. ลมก็ยังกล้าคลื่นก็ยังจัดอยู่. เพชโรก็คิดกลัว. แต่พอเห็นว่าตัวจะจมเสียแล้ว, ก้ร้องขึ้นว่าพระองค์เจ้าข้า, ขอได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดด้วยเถิด. พระเยซูได้ยินดั่งนั้น, ก็เอื้อมพระหัตถ์มาฉวยเอาเพชโรไว้. แล้วตรัสว่า, โอ้คนที่เชื่อถือแต่น้อย, เหตุไฉนตัวจึงไม่เชื่อถือเราจึงมาสงสัยฉะนี้เล่า. ว่าแล้ว, พระเยซูกับเพชโรก็มาขึ้นเรือ. พวกศิษย์ทั้งปวงเห็นพระเยซูก็ชื่นชมยินดี. ลมแลคลื่นก็หายสิ้นในขณะนั้น. เรือก็มาถึงฝั่งด้วยอานุภาพฤทธิพระเยซูเจ้าเสด็จมา. ศิษย์ทั้งปวงเห้นดั่งนั้น, ก็คิดอัศจรรย์ใจนัก. แล้วพากันเข้ามากราบไหว้พระเยซู, กล่าวคำสรรเสริญว่า, พระองค์นี้เป็น,บุตรพระเจ้าเที่ยงแท้. แลพระเยซูขึ้นมาจากเรือ, หยุดพักอยู่ริมฝั่งทะเลสาบ, ที่บ้านกเพอนะอูมนั้น. ชาวบ้านนั้นก็เที่ยวป่าวร้องแก่ฝูงคนทั้งปวงให้รู้ว่า, พระเยซูกลับมาแล้ว. ฝ่ายคนทั้งปวงรู้ดั่งนั้น, ก็พาเอาญาติพี่น้องพวกพ้องของตน, ที่ป่วยไข้ทั้งปวงหามมาถึงพระเยซู. แล้วให้คนไข้นั้นนอนลงที่หนทาง, อ้อนวอนปรารถนาจะให้พระองค์, มาถูกต้องกายตัวสักเล็กน้อย, เพื่อจะให้หายโรค. ส่วนพระเยซูก็ทรงพระกรุณา, เสด็จมาถูกต้องกายคนเหล่านั้นให้หายสิ้น. แล้วสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ที่นั่นหลายวัน


บทที่ ๑๙

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง, พระเยซูเจ้าออกไปจากบ้านกเพอนะอูม, ไปถึงแว่นแคว้นเมืองธูโร, แลเมืองซิโดน. พระองค์เข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง, ปรารถนาจะซ่อนตัวเสีย, มิให้ผู้ใดรู้ว่าพระองค์มา. แต่กิตติศัพท์ที่พระองค์ลงมานั้น, คนทั้งปวงรู้อยู่. ยังมีผู้หญิงเป็นคนต่างประเทศ. หญิงผู้นั้นมีบุตรหญิงคนหนึ่ง, ป่วยเพราะปีสาจเข้าสิงกายอยู่, ทำให้คลุ้มคลั่งเสียจริต. แม่แห่งหญิงนั้น, จึงพาไปหาพระเยซู, อ้อนวอนว่า พระเจ้าข้า, ข้าแต่ผู้เป็นบุตรพญาดาวิด, ได้ทรงพระกรุณาแก่ข้าพเจ้าด้วย บุตรหญิงของข้าพเจ้าอยู่ที่บ้าน, ป่วยเพราะปีสาจเข้าสิงอยู่. ทำวุ่นวายได้ความลำบากนัก. พระเยซูไม่ได้ตรัสตอบประการใด. ฝ่ายพวกศิษย์ทั้งปวงเห็นหญิงต่างประเทศมาดังนั้น, ก็ไม่สบายใจ, จึงว่ากับอาจารย์ว่า, พระองค์จงขับให้หญิงนี้ไปเสีย, เพราะว่ามันตามมาร้องอื้ออึงไป. พระเยซูจึงตรัสแก่หญิงนั้นว่า, เรารับใช้มาจำเพาะแก่ฝูงแกะแห่งพวกอิศระเอล, ที่หายไปนั้น. หญิงต่างประเทศได้ฟังดั่งนั้น, ก็กราบลงที่เท้าพระองค์. แล้วอ้อนวอนว่่า, ขอพระองค์ได้โปรด, ขับไล่ปีสาจให้ออกจากกายลูกข้าพเจ้าให้หายด้วยเถิด. พระองค์จึงตรัสเปรียบว่า, อันชาวเมืองยูดายเปรียบเหมือนบุตรเรา ๆ จะต้องให้อาหารแก่บุตรกินอิ่มก่อน. หาควรที่เราจะโยนอาหารของบุตรให้สุนัขกินก่อนบุตรไม่. หญิงนั้นจึงทูลตอบว่า, ถูกจริงอยู่พระเจ้าข้า, แต่หมาที่อยู่ใต้โต๊ะนาย, จะกินเหลือเดนของลูกนาย, ซึ่งตกลงนั้นได้อยู่. พระเยซูจึงตรัสตอบแก่หญิงว่า, โอ้สตรีเอ๋ย, ความเชื่อถือของท่านมากนัก. จะต้องสมกับความปรารถนาท่านเพราะถ้อยคำที่ท่านมาบอกนี้. ท่านจงกลับไปบ้านเถิด, เพราะปีสาจที่สิงอยู่ในกายบุตรของท่าน, ต้องออกไปเสียแล้ว หญิงนั้นก็กลับไปบ้านเห็นลูกสาวหายดีพร้อมกับคำพระเยซู.

อยู่มาวันหนึ่ง, พระเยซูออกจากเมืองธูโรนั้น, กลับมาสู่เมือง กาลิลาย. คนทั้งปวงรู้ว่า, พระเยซูมา, ก็พาเอาคนผู้หนึ่ง, เป็นคนหูหนวกและพูดอ่าง. คนทั้งปวงก็อ้อนวอนพระเยซู, ให้เอาพระหัตถ์พาดลงบนคนนั้น, เพื่อจะให้หาย. ฝ่ายพระเยซูก็พาคนอ่างนั้น, ออกไปจากฝูงคนหน่อยหนึ่ง, แล้วก็เอานิ้วพระหัตถ์จดเข้าที่รูหู. แลเอาน้ำลายจิ้มที่ลิ้นคนนั้น. พระองค์ก็เงยหน้าขึ้นไปถอนใจ, แล้วก็ออกพระโอษฐ์ว่า, แอบฝะตา, แปลว่าให้เปิดออกเถิด. ส่วนคนนั้นก็หายดีพูดออกได้คล่อง, แลได้ยินเสียงถนัด. พระองค์จึงสั่งคนผู้นั้นกับพวกพ้อง, ห้ามไม่ให้กิตติศัพท์นั้นฟุ้งเฟื่องแผ่ไป. แต่คนเหล่านั้นไม่ฟังคำห้าม. ก็ไปเที่ยวป่าวกิตติศัพท์นั้น. ให้ประกาศแผ่ไปมาก. คนทั้งปวงก็คิดอัศจรรย์ใจนัก. กล่าวสรรเสริญว่า, การงานทั้งปวงสารพัด, พระองค์กระทำให้สำเร็จได้โดยดี. พระองค์กระทำคนหูหนวกให้ได้ยิน. คนอ่างให้พูดได้คล่อง. แล้วพระองค์ขึ้นบนภูเขาแห่งหนึ่งนั่งลง. ฝูงคนมากมายชวนกัน, พาเอาคนขาแข็งขาหัก, คนตาบอด, คนหูหนวก, คนใบ้, คนแขนด้วน, แลคนเจ็บต่าง ๆ มาวางลงแทบเท้าพระเยซู. พระองค์ก็รักษาให้หายสิ้น. ฝูงคนทั้งปวงเห็นดั่งนั้นก็ประหลาดใจนัก. จึงยกยอสรรเสริญพระเจ้าแห่งพวกอิศระเอล. ในคราวนั้นคนมาหาพระองค์, ไม่มีอะไรจะกิน. พระเยซูจึงเรียกพวกศิษย์เข้ามาตรัสกับเขาว่า, เรามีเมตตาแก่ฝูงคนเหล่านี้, เพราะเขามาอยู่กับด้วยเราถึงสามวันแล้ว, จนไม่มีอาหารจะกิน. ถ้าเราจะให้เขาซึ่งยังไม่ได้รับอาหารก่อนกลับไปบ้าน, เขาจะหิวโหยโรยแรงสลบไปในหนทาง. เพราะคนจำพวกนี้มาแต่ไกลเป็นหลายคน. พวกศิษย์จึงทูลพระองค์ว่า, ในป่านี้เราจะหาอาหารพอให้ฝูงคนเหล่านี้กินอิ่มทั่วกันที่ไหนได้. พระเยซูจึงตรัสถามพวกศิษย์ว่า, ท่านยังมีขนมอยู่กี่อัน. พวกศิษย์จึงทูลว่า, มีอยู่เจ็ดอันกับปลาเล็กน้อยหน่อยหนึ่ง. พระองค์จึงสั่งให้คนทั้งปวงนั่งลง. แล้วพระองค์ก็หยิบเอาขนมเจ็ดอันกับปลานั้น, แล้วก็ขอพรจึงหักขนมนั้น, ให้พวกศิษย์แจกให้แก่คนทั้งปวง ๆ ได้รับอาหารกินอิ่มทั่วกัน. คนผู้ชายที่ได้กินนั้นสี่พันคน. แต่ผู้หญิงแลฝูงเด็กมากมายไม่ได้นับ. อาหารเหลืออยู่พวกศิษย์เก็บได้เจ็ดกระบุงเต็ม ๆ แล้วพระเยซูก็สั่งให้คนทั้งปวงกลับไป. ฝ่ายพระองค์ลงเรือข้ามฟากทะเลสาบ, ไปถึงบ้านมักดาลา, หยุดสั่งสอน, แลรักษาคนโรคอยู่ที่นั่นสองวันสามวัน, แล้วก็ลงเรือไปตามทะเลถึงบ้าน เบดเซดา. ชาวบ้านนั้นก็พาคนตาบอดมาอ้อนวอนพระองค์, ให้แต่ถูกต้องให้หาย. พระองค์ก็จูงเอาคนตาบอดนั้นออกไปจากบ้าน. แล้วก็เอาน้ำลายป้ายที่ตาคนนั้น, แล้วพระองค์เอาพระหัตถ์พาดลงบนกายคนนั้น. จึงถามว่าเจ้าเห็นอะไรบ้าง. คนนั้นจึงเงยหน้าขึ้น, แล้วบอกว่าข้าพเจ้าแลเห็นคนเดินไปมาตะคุ่มๆ, ดูเหมือนต้นไม้. แล้วพระองค์ต้องเข้าที่ตาอีกทีหนึ่ง. แล้วสั่งให้เขาเงยหน้าขึ้นแลดู. เขาก็เงยหน้าขึ้น, จึงหายเป็นปกติเห็นคนถนัด. พระองค์จึงให้เขากลับไปบ้านของตน. ห้ามว่าเจ้าอย่าแพร่งพรายเหตุนี้ในบ้าน. อย่าบอกอย่าเล่าให้ผู้ใดได้ฟัง.


บทที่ ๒๐

ครั้นอยู่มาหน่อยหนึ่ง, พระเยซูพาพวกศิษย์ขึ้นไปทิศเหนือ, ถึงแว่นแคว้นเมืองกายซาเรีย ฟิลิบปิ. เมื่อพระองค์เที่ยวไปในบ้านเมืองนั้น, พระองค์สำแดงความเบื้องหน้า, ที่พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานในเมืองยรูซาเลม, ให้พวกศิษย์ฟัง. คือว่า, พวกผู้เฒ่าผู้แก่, แลพวกปุโรหิต, แลพวกอาลักษณ์เมืองนั้น, จะมาจับพระองค์ไปทำโทษต่าง ๆ, จนถึงประหารชีวิต. แล้วในวันที่สามนั้น, พระองค์จะกลับเป็นขึ้นมาอีก. พระองค์ตรัสคำดั่งนี้ให้ปรากฏแก่ศิษย์ทั้งปวง. ฝ่ายเพชโรได้ฟังดั่งนั้น, จึงทูลห้ามพระองค์ว่า, อย่าให้เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า. เหตุอันนั้นจะไม่มาถึงพระองค์เลย. พระเยซูจึงเหลียวพระพักตร์มาดูพวกศิษย์, จึงตรัสห้ามเพชโรว่า, ซาธันเอ๋ย, ตัวจงถอยลงไปข้างหลังเราเถิด. ด้วยเจ้านี้มิได้คิดถูกต้องกับการของพระเจ้า. เจ้าคิดถูกต้องแต่การของมนุษย์. แล้วพระองค์จึงเรียกฝูงคนกับพวกศิษย์เข้ามา. จึงตรัสสั่งสอนเขาว่า, ถ้าผู้ใดปรารถนาจะมาตามเรา, ให้ผู้นั้นขืนใจตัวเอง, แลมารับเอากางเขนเป็นของตัวทุกวัน ๆ แล้วมาตามเราเถิด. เพราะว่าผู้ใดจะพะวงอยู่ด้วยชีวิตของตน, ผู้นั้นก็จะทำลายชีวิตของตนเสียเอง. แลผู้ใดเสียชีวิตรเพราะเห็นแก่เรา, แลเห็นแก่ข่าวอันประเสริฐนั้นด้วย, ผู้นั้นคงจะได้ทำให้ชีวิตของตนรอดอยู่.

แจ้งว่าผู้ใดรักษาความสุขความสบายในชาตินี้, ไม่อาจจะตั้งตัวอยู่ในที่เป็นศิษย์พระเยซู, เพราะกลัวจะเกิดความลำบากแก่ตัว, ผู้นั้นจะได้ความลำบากแท้, จนฉิบหายสิ้น. ถ้าผู้ใดไม่รักษาหาความสบาย, แลสู้ทนทุกข์เวทนาในชาตินี้, เพราะรักเป็นศิษย์พระเยซู, ผู้นั้นจะได้ความสุขในชาตินี้เที่ยงแท้, แลจะพ้นโทษจากนรก, มีชีวิตอิ่มเนื้ออิ่มใจในสวรรค์ชั่วกัปชัวกัลป์.

พระเยซูสั่งสอนต่อไปอีกว่า, ถ้าผู้ใดได้สมบัติสินทั้งโลก, แล้วจิตวิญญาณตนจะต้องทิ้งอยู่ในไฟนรก, จะได้เป็นประโยชน์อันใด. หรือว่ามนุษย์จะเอาสิ่งอันใด, มาเปลี่ยนแทนจิตวิญญาณของตนที่ไหนมี. เพราะต่อภายหน้าบุตรมนุษย์จะได้เหาะลงมา, ทรงรัศมีแห่งพระบิดา. พวกชาวสวรรค์จะลงมาด้วย. ในขณะนั้นบุตรมนุษย์จะปูนบำเหน็จแก่คนทั้งปวง, ตามการดีแลชั่ว, ที่เขาได้กระทำไว้ทุกคน ๆ ถ้าผู้ใดมีความรังเกียจละอายในเรา, แลในคำโอวาทของเราแล้ว, ไปภายหน้าเมื่อบุตรมนุษย์จะเหาะลงมานั้น, ก็จะมีความเบื่อหน่ายแก่ผู้นั้นด้วย.

อยู่ประมาณแปดวัน, พระเยซูเอาเพชโร, กับยาโกโบ แลโยฮัน, ขึ้นไปอยู่บนภูเขาอันหนึ่งเป็นที่สงัด. หวังจะนมัสการอ้อนวอนถึงพระเจ้า. ขณะเมื่อพระเยซูนมัสการพระเจ้าอยู่นั้น, กายแห่งพระองค์ก็จำแลงไป. พระพักตร์เป็นแสงแดดเหมือนพระอาทิตย์. เครื่องทรงของพระองค์, ก็ขาวไปเหมือนแดดบริสุทธิ์นัก. ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินโลก, จะทำผ้าให้ขาวนักอย่างนั้นเลย. ครั้งนั้นเอลียา แลโมเซ, ก็ลงมาสำแดงกาย, แลสนทนากับด้วยพระเยซูอยู่ประจักษ์ตาศิษย์ทั้งสาม. แล้วเอลียา แลโมเซไปจากพระองค์. เพชโรจึงทูลว่า, พระเจ้าข้า, อันพวกเราอยู่ที่นี่ดีอยู่. ถ้าชอบพระทัยพระองค์แล้ว, ข้าพเจ้าทั้งหลายจะสร้างพลับพลาสามหลังไว้ที่นี่, ถวายแก่พระองค์หลังหนึ่ง, แก่โมเซหลังหนึ่ง, แก่เอลียาหลังหนึ่ง, เพชโรพูดดั่งนี้, มิทันรู้ว่าพูดอย่างไรดี, เหตุว่าพวกศิษย์มีความกลัวนัก. เมื่อเพชโรยังพูดอยู่นั้น, เมฆสุกใสสว่างมาคลุมพระองค์ทั้งลูกศิษย์พระองค์ไว้. มีเสียงร้องลงมาแต่ในเมฆว่า. นี้แล, เป็นบุตรที่รักสนิทของเรา, แลเป็นที่ชอบอารมณ์ของเรานัก. คนทั้งหลายจงฟังท่านผู้นี้เถิด. ฝ่ายศิษย์ทั้งสามได้ยินดั่งนั้น, ก็ก้มหน้ากราบลงด้วยความกลัวยิ่งนัก. เสียงนั้นหยุดแล้ว, พระองค์ก็มาต้องศิษย์ทั้งสาม, ตรัสว่าลุกขึ้นเถิด. อย่ากลัวเลย. เขาก็แหงนตาดู, มิได้เห็นผู้ใดอื่น, นอกจากพระเยซูผู้เดียว. แล้วพระองค์ก็พาศิษย์ทั้งสามลงจากภูเขา. เมื่อเดินอยู่ตามทาง, พระองค์จึงกำชับว่า, ที่ท่านได้เห็นเดี๋ยวนี้, อย่างเพิ่งแพร่งพรายกับผู้ใดผู้หนึ่งก่อนกว่าบุตรมนุษย์จะได้เป็นขึ้นมาจากตาย. ถ้อยคำนี้พวกศิษย์ก็จำไว้. แต่หาเข้าใจไม่. เขาจึงซักไซ้กันว่า, ที่ขึ้นมาจากตายนั้นจะเป็นเหตุประการใดเล่า.

ครั้นเพลารุ่งขึ้น, พระองค์พาศิษย์ลงมาถึงเชิงภูเขา. ฝูงคนเป็นอันมากก็มาพบพระองค์เข้า, กับทั้งพวกศิษย์พระองค์ทั้งปวง. ฝ่ายพวกศิษย์แลคนทั้งปวง, เห็นพระองค์มาก็ประหลาดใจนัก. ต่างคนต่างลุกไปต้อนรับทักทายพระองค์. ยังมีคนผู้หนึ่งเข้ามาใกล้. คุกเข่าลงกราบทูลพระองค์ว่า. พระอาจารย์เจ้าข้า, ข้าพเจ้าได้พาบุตรชายของข้าพเจ้าคนหนึ่งมา. มันเป้นโรคเพราะปิสาจเข้าสิงอยู่. มันกระทำให้เป็นบ้าเป็นใบ้, ได้ลำบากนัก. ลางทีให้ล้มลงในไฟบ้าง. ลางทีให้ตกลงในน้ำบ้าง. ลางทีให้ชักขบเขี้ยวเคี้ยวฟันน้ำลายฟูมปาก. ลางทีให้หยิกข่วนตัวเองบ้าง, จนตัวลูกข้าพเจ้าผอมลงมาก. ข้าพเจ้าก็ได้พาลูกนั้นมาหาพวกศิษย์พระองค์, ด้วยจะให้เขาขับปิสาจออกเสีย. พวกศิษย์นั้นก็ขับออกไม่ได้. ขอพระองค์ได้โปรดช่วยด้วยเถิด. ลูกข้าพเจ้ามีแต่คนเดียว. พระเยซูจึงสั่งให้เอาเด็กนั้นมา. พอเด็กนั้นมายังไม่ทันถึงพระองค์, ปิสาจก็อาเพศแหกกายเด็กให้ล้มลงกลอ้งอยู่กับที่, น้ำลายไหลฟูมออกจากปาก. พระเยซูจึงถามบิดาเด็กนั้นว่า, ที่เป็นมาเช่นนี้เป็นมานานสักเท่าไหร่. พ่อของเด็กจึงบอกว่า, เป็นมาแต่ยังเด็กอ่อนอยู่. มันทำให้ตกในไฟ, ให้ตกในน้ำหลายครั้ง, จะให้มันตาย. ถ้าพระองค์ช่วยได้, ขอพระองค์โปรดสงเคราะห์เถิด. พระเยซูจึงตรัสกับพ่อเด็กว่า, ถ้าท่านอาจจะเชื่อถือ, จึงจะไม่มีสิ่งอันยากแก่ผู้เชื่อถือ. บัดเดี๋ยวนั้นพ่อของเด็ก, น้ำตาไหลออก, ร้องว่าข้าพเจ้าเชื่อถืออยู่พระเจ้าข้า. ขอพระองค์ให้ข้าพเจ้าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปกว่านี้เถิด. พระเยซูจึงตรัสแก่ปิสาจ ว่า, แน่ะไอ้ปิสาจเอ๋ย, เองจงออกจากตัวเด็กคนนี้เถิด. ตั้งแต่วันนี้ไปอย่าได้เข้าสิงในเด็กนี้เลย. ฝ่ายปิสาจนั้นมันก็ยื้อแย่งตัวเด็กเป็นสามารถ, แล้วก็ออกจากตัวเด็กนั้น. เด็กนั้นดูอาการเหมือนตายแล้ว. คนหลายคนที่เห็นนั้น, บอกกันว่า, มันตายเสียแล้ว. ส่วนพระเยซูก็จับเด็กพยุงขึ้น. มันก็ยืนอยู่ได้หายเป็นปกติ. พระองค์จึงมอบเด็กให้แก่พ่อมัน. คนทั้งปวงได้เห็นดั่งนั้น, ก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก. ด้วยเดชานุภาพของพระเจ้าอันใหญ่หลวง. แล้วพระองค์เข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง, พวกศิษย์ติดตามเข้าไปด้วย. ก็กราบพระองค์ลงในที่สงัด, ทูลว่า, พวกข้าพเจ้าทั้งหลายนี้, เหตุไฉนไม่ขับปิสาจนั้นได้. พระเยซูจึงตอบว่า, เพราะใจของท่านไม่ใคร่เชื่อถือเลย. เราบอกแก่ท่านเป็นแท้จริงว่า, ถ้าท่านมีความเชื่อประมาณแต่เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งเท่านั้น, ถ้าจะว่าแก่ภูเขานี้ว่า, จงถอยออกไปจากที่นี่, ไปอยู่ในที่โน่น, มันก็จะไป, แลจะไม่มีอันใดเป็นยากแก่ท่านเลย.


บทที่ ๒๑

เมื่อพระเยซูยังติดเทศนาอยู่เมือง คาลิลาย, พวกศิษย์ทั้งปวงได้เห็น การอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำต่าง ๆ, ก็คิดประหลาดใจทุกคน ๆ. พระเยซูจึงสอนแก่ศิษย์ทั้งปวง ว่า, ท่านจงเอาคำนี้หยั่งลงในหูของท่าน. เพราะบุตรมนุษย์จะต้องมอบไว้ในมือคน. เขาจะฆ่าประหารเราเสีย. แล้วเราจะเป็นขึ้นมา จากความตายในวันที่สาม. ฝ่ายพวกศิษย์ทั้งปวง ต่างคนต่างไม่เข้าใจ, ในที่พระองค์ว่านั้น, ก็ชวนกันเป็นทุกข์นัก, ในที่พระองค์ว่านั้น, ครั้นถึงแล้ว, พวกคนที่เป็นผู้สำหรับเรียกเงินค่าส่วยพากันมาหาเพชโร, ถามว่า, อาจารย์ของท่านนั้นไม่ต้องเสียค่าส่วยดอกหรือ. เพชโรบอกว่า, ต้องเสียอยู่. แล้วเพชโรเข้าไปในเรือนจะบอกแก่พระเยซู.  มิทันจะบอก, พระองค์แจ้งเหตุนั้นอยู่ในพระทัยแห่งพระองค์สิ้น.  จึงตรัสถามเพชโรว่า, ซิมนเอ๋ย, ท่านเห็นอย่างไร.  เจ้าแผ่นดินย่อมเรียกส่วยนั้นแต่พวกลูกของตนหรือ ๆ เรียกเอาแต่ผู้อื่น.  เพชโรทูลตอบว่า, เขาเรียกเอาแต่ผู้อื่นพระเจ้าข้า.  พระเยซูจึงตอบว่าถ้าเช่นนั้นแล้วลูกเจ้าแผ่นดินทั้งปวง, ก็ไม่ต้องเสียส่วย.

แจ้งว่าอันตัวพระเยซูนี้, คือบุตรพระเจ้าแห่งโลกทั้งปวงสิ้น. ไม่ควรที่พระองค์จะต้องเสียค่าส่วย.

พระองค์ตรัสต่อไปว่า.  ถ้าเราไม่เสียส่วย, ก็กลัวคนพวกนั้น, จะขัดใจกับพวกเรา.  อย่าเลย, จำเราจะต้องเสียส่วยให้เขาด้วยเถิด.  พระเยซูจึงใช้เพชโรว่า, ท่านจงเอาเบ็ดไปตกปลาที่ทะเลเถิด. ปลาตัวหนึ่งซึ่งจะขึ้นมาก่อน, จงลากมันขึ้นมาเปิดปากมันออก, จึงจะพบเงินตราแผ่นหนึ่ง.  จงเอาเงินนั้นไปให้แก่พวกเรียกค่าส่วยเถิด. เป็นส่วนตัวท่านกับเรา. เพชโรก็ไปทำตามพระเยซูสั่ง.

อยู่มาวันหนึ่ง, ฝ่ายศิษย์ทั้งปวงสงสัย.  จึงทูลถามพระองค์ว่า, ในศาสนาของพระองค์นี้, คนผู้ใดจะเป็นใหญ่อันยิ่ง.  พระเยซูตรัสตอบว่า,  ถ้าผู้ใดปรารถนาเป็นใหญ่,  ก็ต้องให้ผู้นั้นประพฤติต่ำตัวมาก.  แลเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง.  แล้วพระองค์ก็เรียกทารกอ่อน ๆ คนหนึ่ง,  มาในที่ท่ามกลางพวกศิษย์.  แล้วพระองค์ก็อุ้มทารกไว้.  พระองค์จึงตรัสกับพวกศิษย์ว่า,  ถ้าท่านมิได้กลับเป็นเหมือนดั่งทารกอันอ่อนนี้, ไม่ได้เข้าในเมืองสวรรค์เลย. ถ้าผู้ผู้ใดถ่อมตัวลงเป็นเหมือนทารกนี้, ผู้นั้นแลเป็นใหญ่ในเมืองสวรรค์. ถ้าผู้ใดจะรับทารกอ่อนเช่นนี้, เพราะเห็นแก่เรา, ผู้นั้นก็เหมือนรับเราเอง.  อันทารกอ่อนเช่นนี้, ที่เชื่อถือในเรา, ถ้าผู้ใดแกล้งทำให้มันหลงผิดไป, ผู้นั้นมีโทษหนัก, ถ้าเอาหินโม่แป้ง, ผูกคอผู้นั้นทิ้งในทะเลลึกดีกว่า. จงระวังให้ดีอย่ามาดูถูกผู้ใดผู้หนึ่งแก่ศิษย์เล็กน้อยเช่นนี้เลย. เราบอกแก่ท่านว่า, ทูตสวรรค์ที่เฝ้าเด็ก ๆ นี้, ได้เห็นพระพักตร์บิดาของเราในเมืองสวรรค์เป็นนิจ.  อันบุตรมนุษย์ได้มาด้วยปรารถนาจะช่วยที่เสียหายไปนั้น, ให้รอดขึ้นมา. ท่านจะเห็นอย่างไร, ถ้าผู้ใดมีแกะสักร้อยตัว, แลแกะตัวหนึ่งหลงหายไปจากฝูงแกะนั้น, คนผู้เจ้าของก็จะต้องทิ้งฝูงแกะเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้, จะต้องสู่ภูเขาเที่ยวสืบเสาะ แสวงหาแกะตัวเดียวที่หายไปนั้นมิใช่หรือ. เราบอกแก่ท่านเป็นความจริง, ผู้นั้นถ้าได้พบแกะตัวนั้น, ก็จะมีความยินดีเพราะแกะตัวนั้นยิ่งกว่าฝูงแกะเก้าสิบเก้าที่ไม่หายนั้นอีก. ดั่งนี้แลพระบิดาเจ้าของท่าน,  ซึ่งอยู่สวรรค์ไม่พอพระทัย, ที่จะให้พวกศิษย์เล็กน้อยแม้นแต่คนเดียวเสียหายไปเลย.  อนึ่งถ้าพวกท่าน, ตั้งแต่สองคนขึ้นไป, จะร่วมใจกันมาขอสิ่งใดแก่พระบิดาของเราที่อยู่สวรรค์, ก็คงได้ทุกสิ่ง. ที่ไหนๆถ้ามีสองคนสามคนเข้ามาพร้อมกัน, เพราะเห็นแก่นามชื่อของเรา, เราก็จะต้องอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่นแล.

คราวนั้นเพชโรเข้ามาทูลถามพระองค์ว่า, ท่านเจ้าข้า, พี่น้องของข้าพเจ้าจะผิดต่อข้าพเจ้ากี่ครั้ง. แลข้าพเจ้าต้องยกความผิดนั้นทุกที, สักเจ็ดครั้งหรือ. พระเยซูตรัสตอบแก่เพชโรว่า.  เราไม่สอนว่า, ให้ยกความผิดเจ็ดหนเท่านั้นดอก. แต่เราสอนให้ยกความผิดถึงเจ็ดหนประสมกันเข้าถึงเจ็ดสิบหน.

ครั้นเหตุการณ์นั้นล่วงไปแล้ว, พระเยซูเลือกแต่ในพวกศิษย์ได้อีกเจ็ดสิบคน, ตั้งไว้เป็นประธาน. จึงใช้ให้ออกไปแห่งละสองคน, สำแดงกิตติศัพท์มงคลในบ้านทั้งปวงที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น.  แล้วจึงสอนศิษย์เจ็ดสิบคนว่า, มนุษย์ทั้งปวงเปรียบเหมือนรวงข้าวในนาพึ่งสุก, ที่คนไม่ทันเกี่ยว. นานั้นใหญ่โตกว้างขวางอยู่.  คนผู้สำหรับเก็บเกี่ยวมีน้อยนัก.  ท่านจงไป อุตส่าห์ขอเจ้าของนาข้าวนั้น, เพื่อท่านจะใช้ให้คนไปเก็บเกี่ยวข้าวนั้น.  ท่านทั้งหลายจงไปเถิด.  นี่แน่ะ เราใช้ให้ท่านไปทั้งนี้, เหมือนใช้ลูกแกะไปในฝูงหมาใน. ท่านจงเที่ยวไปรักษาคนป่วยเจ็บต่าง ๆ ให้หาย. แลสั่งสอนคนทั้งปวงว่า, เมืองที่พระเจ้าครอบครองนั้น, เกือบจะมาตั้งอยู่แล้ว. แลให้กลับใจเสียใหม่เถิด. บุคคลผู้ใดที่เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน, ก็เหมือนเขาได้เชื่อฟังถ้อยคำของเราแล.  บุคคลผู้ใดดูหมิ่นท่าน, ก็เหมือนดูหมิ่นเรา. บุคคลผู้ใดดูหมิ่นเรา, ก็เหมือนดูหมิ่นพระบิดาเจ้าด้วย.


บทที่ ๒๒

ครั้นอยู่มาพวกปุโรหิตแลพวกฟาริซาย, ก็โกรธพระเยซูนัก, เพราะว่าพระเยซูรักษาคนง่อย, ที่มาลำบากปากสระน้ำนั้น, ให้หายในวันซะบัดโต. คนสองจำพวกนี้, จึงใช้ให้ทหารออกไปเพื่อ จะจับตัวพระเยซู. คนใช้ทั้งปวงก็ออกไปถึงที่พระเยซูอยู่. ครั้นมาได้เห็นฟังพระองค์สั่งสอนคนถึงความดีทั้งปวง, ก็ประหลาดใจนัก, ไม่อาจจะจับตัวพระเยซูได้. ก็พากันกลับไปหาพวกปุโรหิตแลพวกฟาริซาย. เขาจึงถามทหาร ว่า, ทำไมจึงไม่จับเอาตัวเยซูมาเล่า. พวกทหารจึงตอบว่า, อันคนทั้งปวงแต่ก่อนมาที่จะได้สั่งสอนความดีเหมือนคนผู้นั้นไม่มีเลย. พวกฟาริซายจึงตอบ ว่า,  เจ้าทั้งปวงหลงไปด้วยหรือ.  ในพวกขุนนางแลพวกฟาริซายทั้งปวง, มีใครเชื่อถือในเยซูบ้าง.  แต่ไพร่พลทั้งปวงที่ไม่รู้ในคำโอวาท, ก็ต้องแช่งเสียแล้ว.  ฝ่ายนิกะเดโม,  ที่มาหาพระเยซูในกลางคืนแต่ก่อนนั้น, อยู่ในพวกฟาริซาย, จึงถามพวกกันวว่า, อันกฎหมายของเรานั้น, ได้พิพากษาปรับไหมผู้ใดผู้หนึ่ง, แต่ยังไม่ได้ฟังคำผู้จำเลยมีหรือ.  พวกฟาริซายก็โกรธนิกะเดโม,  คิดไม่ตกลงกัน, จึงเลิกไปบ้านทุกคน ๆ

ฝ่ายพระเยซู ไปสู่ภูเขาเอลายโอน, ครั้นรุ่งเช้าก็กลับมาสู่วิหารในกรุงยรูซาเลม.  นั่งลงสำแดงคำโอวาทอยู่ที่นั่น.  ข้อความที่พระองค์สั่งสอนในคราวนั้น.  คือว่า, พระยิโฮวะเจ้าเป็นบิดาพระเยซู ๆ เป็นบุตรพระเจ้าก็เทียมเท่ากันกับพระบิดาเจ้า, ทั้งสององค์นั้นเป็นเหมือนอันเดียวกัน.   อนึ่งมนุษย์ทั้งปวงเป็นบาปทุกคน. ควรจะไปปรับโทษในนรกแล้ว.  พระเยซูได้รับใช้พระบิดา, มาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาปโทษ ให้ไปสวรรค์.  ผู้ใดเชื่อฟังถ้อยคำของพระเยซูจึงจะรอดได้. ผู้ใดไม่เชื่อฟังแล้ว, ก็จะต้องทนทุกข์เวทนาอยู่ในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์.  คนทั้งปวงได้ยินพระเยซูสั่งสอนเป็นใจความเช่นว่ามานี้,  ก็เชื่อถือบ้าง, ไม่เชื่อถือบ้าง.  ในพวกยูดายบางคนพูดกันว่า, ที่เขาพูดกันว่าเยซูนี้มีปิสาจเข้าประจำอยู่มิถูกนักหรือ.  บางพวกโกรธพระเยซู, หยิบเอาก้อนหินจะขว้างเอาพระองค์  พระเยซูก็ออกไปจากวิหารเสียก่อน. เขาทำไม่ทัน.

ครั้นอยู่มาพวกศิษย์เจ็ดสิบคน, ที่พระเยซูใช้ไปสั่งสอนมงคลโอวาทนั้น, ก็กลับมาหาพระองค์, ด้วยความยินดีนัก. เขาทูลแก่พระองค์ว่า, แม้นฝูงปิสาจก็อยู่ในอำนาจข้าพเจ้า เพราะนามชื่อของพระองค์.  พระเยซูจึงตรัสว่า, ท่านอย่าชื่นชมยินดีเพราะปิสาจอยู่ในอำนาจของท่าน.  แต่ให้ชื่นชมเหตุเพราะนามชื่อของท่านต้องจดหมายอยู่ในสวรรค์แล้ว จะดีกว่า.  คนทั้งปวงซึ่งได้เห็นเหตุการณ์ทั้งปวงที่ท่านได้เห็นนั้น, ก็เป็นบุญลาภ, เพราะเราบอกแก่ท่านว่า, แต่ก่อนนั้นคนทำนายเป็นหลายคน,  แลมหากษัตริย์เป็นหลายองค์,  ปรารถนาจะดูเหตุการณ์ทั้งปวงที่ท่านได้เห็น.  เขาก็ไม่ทันเห็น.  แลเขาปรารถนาจะฟังข่าวที่ท่านได้ฟัง.  แต่เขาไม่ทันได้ฟัง.

ครั้นอยู่มามีมุขมนตรีคนหนึ่ง,  เป็นผู้สำหรับสำแดงกฎหมาย, เข้ามาหาพระองค์, เพื่อจะใคร่ทดลองพระองค์ จึงทูลว่า.   พระอาจารย์เจ้าข้า  ข้าพเจ้าจะต้องประพฤติประการใด, จึงจะได้มรดกชีวิตชั่วนิรันดร.    พระเยซูจึงถามตอบมุขมนตรีว่า, ในกฎหมายนั้นเขาเขียนว่ากระไร.  ท่านอ่านเข้าใจอย่างไร.  เขาตอบว่า กฎหมาย ว่า, ให้รักพระองค์เจ้าของท่านด้วยสุดใจ, สุดวิญญาณ, สุดกำลัง, แลสุดสติปัญญาของตน.  แลให้รักเพื่อนบ้านกันเหมือนรักตัวของตน. พระเยซูจึงตอบท่านว่าถูกแล้ว.  จงประพฤติตามเช่นนั้นเถิด,  จึงจะได้ชีวิตชั่วนิรันดร.  ฝ่ายมุขมนตรีได้ฟังดังนั้น, ก็คิดว่า, ตัวเราก็ประพฤติถูกอยู่แล้ว, จึงถามพระเยซูว่า, ที่เป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้านั้น, คือผู้ใดบ้าง.  พระเยซูจึงตอบเป็นความเปรียบว่า, ยังมีคนผู้หนึ่งออกจากเมืองยรูซาเลม, เดินทางจะไปเมืองเยริโก.  ก็พบพวกโจรเข้า. มันชิงแย่งเอาผ้านุ่งผ้าห่มออกจากตัวคนนั้น.  แล้วมันทุบตีให้ลำบากนักแทบตาย, แล้วมันก็ไป. ยังมีปุโรหิตคนหนึ่งลงมาตามทางนั้น, พอได้พบเห็นคนที่แทบตาย.  ก็เดินหลีกเลี่ยงไปเสียข้างทางข้างหนึ่ง ไม่เมตตา.  แล้วยังมีพวกเลวิคนหนึ่ง, เมื่อมาถึงที่นั่น, แลดูเห็นคนที่เจ็บนั้น, ก็หลีกไปเสียข้างทางข้างหนึ่ง.  แต่ยังมีชาวซะมาเรียเดินทางมาถึงที่คนป่วยเจ็บอยู่นั้น.  เอาน้ำมันแลน้ำองุ่นเทลงที่แผลผู้นั้น  แล้วเอาผ้าพันผูกแผลไว้.  จึงค่อยพยุงยกผู้นั้นขึ้นให้ขี่หลังลาของตัว, พาไปถึงเรือนแห่งหนึ่ง,  เขาปลูกไว้สำหรับคนเดินทางเข้าอาศัย.  จึงให้คนเจ็บอยู่ในที่นั่น, รักษาอยู่คืนหนึ่ง.  ครั้นรุ่งเช้าจึงเอาเงินของตัวออกให้แก่เจ้าของเรือน,  เป็นค่าจ้างรักษาแลอาศัย, กว่าคนผู้นั้นจะหาย.  จึงว่ากับเจ้าเรือนว่า, ท่านจงรักษาผู้นั้นไว้หนา.  ถ้าเงินนี้ไม่พอใช้, ก็เอาเงินของท่านรองไปใช้ก่อนเถิด.  ตัวเรากลับมาแล้วจึงจะใช้ให้แก่ท่าน.  เมื่อพระเยซูตรัสอุปมาฉะนี้แล้ว, จึงถามมุขมนตรีว่า, คนทั้งสามคนนี้, คือผู้ใดได้เป็นเพื่อนบ้านของผู้ป่วยนั้น.  เขาตอบว่า, คนผู้มีจิตเมตตานั้นแหละ เป็นเพื่อนบ้านแก่ผู้ป่วย.   พระเยซูจึงว่า, ท่านจงไปทำเหมือนผู้รักษาพยาบาลนั้นเถิด.


บทที่ ๒๓

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง, พระเยซูพาพวกศิษย์เข้าไปสู่บ้าน เบดทานี, ใกล้เมืองยรูซาเลม. หญิงผู้หนึ่งชื่อมาตา, ออกมาต้อนรับเชื้อเชิญพระองค์ เข้าไปในบ้านของตน. นางมาตานั้นมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง, ชื่อ ลาสะโร มีน้องหญิงคนหนึ่ง, ชื่อ มาเรีย. ทั้งสามคนพี่น้องเป็นคนใจซื่อตรง โอบอ้อมอารีเชื่อถือรักใคร่ในพระเยซูมาก. พระองค์เมตตาแก่คนทั้งสามนั้นมากนัก. พอพระทัยมาหยุดพักอาศัยในบ้านคนทั้งสามนั้นเนือง ๆ, เมื่อพระเยซูเข้าไปในบ้าน คราวนั้น, นางมาเรียก็เข้ามานั่งอยู่แทบท้าวของพระองค์, คอยฟังพระองค์สั่งสอน.  ฝ่ายนางมาตาผู้พี่นั้น, ไม่ใคร่มีเวลาว่างการ, ที่ขวนขวายจะปรนนิบัติพระองค์เลย. เขาจึงเข้ามาถามพระองค์ว่าง, ที่มาเรียน้องข้าพเจ้าละการงานไว้ให้ข้าพเจ้าผู้เดียวเช่นนี้, พระองค์ไม่ได้เอาใจใส่หรือ. ขอพระองค์ได้สั่งมาเรียให้ช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด.  พระเยซูจึงตอบว่า, มาตาเอ๋ย, ท่านเอาใจใส่เป็นทุกข์ด้วยเอาธุระหลายประการก็จริง.  แต่มาเรียนั้นได้เลือกสรรเอาแต่ส่วนหนึ่งอันวิเศษ, อันไม่พลัดพรากจากตัวมาเรียเลย, จะตั้งอยู่เป็นนิจ.

แจ้งว่ามาเรียเลือกเอาพระเยซูเป็นที่พึ่ง, เป็นที่รักใคร่เลื่อมใสศรัทธา,  นี้คือส่วนดีวิเศษ, ที่ไม่รู้อันตรธานไปเลย.

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง, พระเยซูไปสวดอ้อนวอน, ถึงพระบิดาเจ้าในที่แห่งหนึ่ง.  เมื่อพระองค์สวดจบแล้ว.  พวกศิษย์เข้ามาหาพระองค์ทูลว่า, ขอพระองค์ได้สอนข้าพเจ้าให้สวดอ้อนวอนพระเจ้า, เหมือนโยฮันบัพติศเธ, สอนพวกศิษย์ทั้งปวงบ้าง. พระเยซูจึงตรัสเป็นข้ออุปมา ว่า, ในพวกท่านนี้, ผู้ใดจะมีมิตรสหายคนหนึ่ง, เมื่อเพลาดึกเข้าไปอ้อนวอนว่า.  ท่านผู้เป็นมิตรสหายเอ๋ย, ข้าขอยืมขนมสักสามอัน เพราะเรามีเพื่อนที่ชอบกัน, เดินทางมาในบ้านนี้, ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งอันใดให้เขากินเลย. คนอยู่ในเรือนนั้น, จึงตอบบอกมาว่า, ท่านอย่าให้เราลำบากเลย.  ประตูก็ปิดเสียแล้ว.  ลูกของเราก็นอนอยู่ด้วย.  เราจะลุกขึ้นหยิบขนมให้ท่านไม่ได้แล้ว.  พระเยซูจึงตรัสว่า, นี้แหละ เราว่าเป็นคำแท้ว่า, ถึงมิตรสหายนั้นไม่ลุกหยิบขนมให้, เพราะเป็นเพื่อนรักกัน, ก็คงลุกขึ้นหยิบขนมให้, เพราะความอ้อนวอนนัก.  ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์อ้อนวอนพระเจ้าเช่นนั้นเถิด, จึงจะได้.  จงแสวงหาเช่นนั้นเถิด, จึงจะพบ.  จงหมั่นเคาะประตูเช่นนั้น, ประตูก็จะเปิดรับ, ให้ท่านเข้าไปเป็นแท้.

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง, พระเยซูเจ้าเข้าไปสู่โรงธรรมแห่งหนึ่ง, เป็นวันซะบัดโต.  พบหญิงคนหนึ่งป่วยเป็นง่อย. หลังไหล่มือเท้าเหยียดออกไม่ได้.  เป็นนานมาถึงสิบแปดปีแล้ว.  พระเยซูได้เห็นดั่งนั้น,  ก็มีพระทัยกรุณา. จึงตรัสแก่หญิงนั้นว่า, โรคของตัวนั้นเราจะแก้ให้หาย.  แล้วพระองค์ก็ยื่นพระหัตถ์ไปจับมือหญิงนั้นให้ยืนขึ้น. หญิงนั้นก็หายสบายดี. แล้วก็กล่าวคำสรรเสริญคุณพระเจ้า.  ขณะนั้นคนผู้เป็นนายโรงธรรม, ได้เห็นพระเยซูกระทำรักษาโรคให้หายในวันซะบัดโต, ก็คิดแค้นเคืองกริ้วโกรธนัก.  จึงพูดกับคนทั้งปวงว่า, ในหกวันนอกจากวันซะบัดโตนั้น, ถึงจะมารักษาโรค, แลทำการงานทั้งปวงก็ควร.  แต่วันซะบัดโตแล้วอย่าทำเลย ไม่ควร.  พระเยซูได้ฟังดั่งนั้นจึงว่า, ท่านผู้ทำเทียมเอ๋ย,  ในวันซะบัดโตนั้น, ท่านได้พาเอาวัวแลลาของท่าน, ให้มันลงไปกินน้ำบ้างหรือหาไม่.  อันหญิงผู้นี้ป่วยลำบากมาถึงสิบแปดปีแล้ว, เราได้รักษาให้หายในวันซะบัดโตไม่ควรหรือ.  นายโรงธรรมแลบรรดาคนที่เป็นศัตรูแก่พระองค์ได้ฟังดั่งนั้น, ก็อัปยศอายนัก.  มิได้ว่ากล่าวตอบโต้ประการใด.

ฝ่ายพระองค์ก็เดินเที่ยวไปตลอดทั่วบ้านเมืองทั้งปวง. สั่งสอนคนทุกแห่งทุกตำบล. แล้วพระองค์ถามพวกศิษย์ทั้งปวงว่า, เราจะเอาสิ่งอันใดเปรียบเมืองพระเจ้าได้.  เมืองพระเจ้านั้นจะเปรียบเหมือนสิ่งอันใด.  เราจะสำแดงให้ท่านทั้งปวงฟัง.  เมืองนั้นเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง, ที่มนุษย์เอามาปลูกลงในสวนของตน.  พืชนั้นก็งอกจำเริญขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่โตสาขา.  ประการหนึ่ง, เมืองพระเจ้านั้น, เปรียบเหมือนเชื้อขนม, ที่หญิงมาใส่แป้งลงมากถึงสามทะนาน.  แป้งทั้งสามทะนานก็ฟูขึ้นทั้งหมด.

แจ้งว่า, ศาสนาพระเจ้านั้น, เดิมเมื่อแรกตั้งขึ้นนั้นเห็นเป็นน้อย.  มนุษย์ไม่ใคร่เอาใจใส่.  ไม่ได้สังเกตไม่ได้นับถือ.  แต่ว่าพระศาสนาแผ่ไปเป็นอันมากแล้ว.  ไปภายหน้าก็จะแผ่ไปตลอดทั่วโลก.  มนุษย์ทั้งปวงก็จะมาอาศัยในศาสนาพระเยซูสิ้น.


บทที่ ๒๔

ครั้นอยู่มาถึงวันซะบัดโตเข้าอีก, พระเยซูเดินไปตามทางในเมืองยรูซาเลม, พบคนผู้หนึ่งตาบอดทั้งสองข้าง บอดมาแต่กำเนิด. พระองค์ก็มีพระทัยกรุณา. จึงหยิบเอาฝุ่นดินมาปนเข้ากับน้ำลายให้เปียก, ทาเข้าที่หลังตาคนนั้นแล้ว, จึงตรัสว่า, ท่านจงไปที่สระชื่อซีโลอำ, ล้างหน้าตาเสียให้หมดเถิด. ได้เห็นเป็นปกติ แล้ว, ก็กลับมาหาเพื่อนบ้าน. เพื่อนบ้าน เมื่อได้เห็นผู้นั้นจึงพูดกันว่า, คนนี้ที่เคยมานั่งขอทานอยู่มิใช่หรือ. ลางคนว่าคนนี้แหละ. ลางคนว่ามิใช่, แต่ว่าหน้าตาดูเหมือนกับคนนั้น. คนผู้ตาหายโรคนั้น จึงบอกว่า, ข้านี้ คือคนนนั้นแหละ. คนทั้งปวงจึงถาม ว่า, ตาของเจ้าทำไมจึงหาย. คนนั้นจึงบอกว่า, คนผู้ชื่อเยซูเอาดินเหนียวมาบีบขยำทาเข้าที่หลังตา, แล้วให้ข้าไปล้างหน้าตาที่สระชื่อซีโลอำนั้น. ข้าไปล้างแล้วตาก็เห็น. คนทั้งปวงจึงถามว่า, คนผู้นั้นไปไหนเล่า.  ผู้นั้นบอกว่า ไม่รู้เลย.  คนทั้งปวงจึงพาคนหายโรคหน่วยตานั้น, ไปหาพวกฟาริซาย ๆ จึงถามคนผู้นั้นว่า. เหตุไฉนตาเจ้าจึงเห็น. คนผู้นั้นจึงบอกว่า, คนผู้ชื่อเยซูเอาดินเหนียวมาทาเข้าที่ตาข้า, แล้วให้ไปล้างตาเสีย, ข้าจึงเห็น.  คนในพวกฟาริซายนั้น, ลางคนกล่าวว่า,  เยซูนี้เห็นจะไม่ได้มาแต่พระเจ้าดอก, เพราะไม่นับถือรักษาวันซะบัดโต.  ลางคนว่า, ถ้าผู้นี้เป็นคนบาปแล้ว, จะทำการอัศจรรย์เช่นนี้อย่างไรได้.

พวกฟาริซายนั้นต่างคนต่างคิดไม่ต้องกัน.  จึงซักถามคนผู้หายโรคหน่วยตานั้นอีก เล่าว่า, ตัวเจ้าเข้าใจว่า, คนรักษาตาเจ้าหายนั้นเป็นผู้ใด.  คนผู้นั้นจึงบอกว่า, ข้าเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นผู้ทำนายใหญ่.  พวกฟาริซายนั้นยังมีความสงสัยไม่เชื่อว่า, คนผู้นั้นแต่ก่อนตาบอดอยู่, แล้วกลับหายขึ้น.  จนได้เรียกพ่อแม่ผู้นั้นมาถามว่า, คนผู้นี้เป็นลูกของท่านหรือ.  ตาบอดนั้นทำไมจึงหาย. พ่อแม่ผู้นั้นจึงบอกว่า, ข้าพเจ้าทั้งสองนี้รู้อยู่เป็นแน่ว่า, ผู้นี้เป็นลูกของข้า, ตาบอดมาแต่กำเนิด.  แต่ว่าที่ลูกนี้หายโรคตานั้นอย่างไรไม่รู้เลย. ผู้รักษาให้หายนั้น, ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จัก.  แต่ว่าลูกของข้าพเจ้านั้นก็ใหญ่แล้ว.  ท่านไปถามเขาดูเถิด.  เขาก็จะพูดให้ท่านฟังเอง.  พ่อแม่ผู้นั้นบอกกับพวกฟาริซายเช่นนั้น,  เพราะกลัวพวกฟาริซายจะขับไล่เสีย,  ไม่ให้เข้าสู่โรงธรรมสำหรับสวดถึงพระเจ้า.  เขาตั้งใจว่า, ถ้าผู้ใดบอกว่า, ข้านับถือเยซูแล้ว, ก็จะขับไล่ผู้นั้นเสีย, ไม่ให้เข้าโรงธรรมเลย.  พ่อแม่นั้นจึงบอกว่า, ลูกข้านั้นเขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว.  ท่านจงถามเขาเองเถิด.  พวกฟาริซายจึงร้องเรียกคนที่หายโรคตานั้นมาอีก.  แล้วจึงว่าเจ้าจงสรรเสริญพระเจ้าเถิด.  แต่เยซูนั้นเรารู้อยู่ว่าเป็นคนบาป.  คนที่ตาหายโรคนั้นจึงตอบว่า, คนรักษาตาข้าพเจ้าหายนั้นจะเป็นคนบาป, หรือไม่เป็นคนบาป, ข้าไม่รู้.  ข้ารู้แน่อยู่สิ่งหนึ่ง, แต่ตาข้าแต่ก่อนนั้นบอดอยู่, บัดนี้หายเห็นดีได้.  พวกฟาริซายจึงถามว่า.  เยซูนั้นทำอย่างไรจึงให้ตาเจ้าเห็นได้. คนผู้นั้นจึงตอบว่า. เราบอกแก่ท่านแล้ว, ท่านก็ไม่เชื่อ. ทำไมท่านจะให้เราบอกอีกเล่า.  ท่านปรารถนาจะเป็นศิษย์พระเยซูหรือ. พวกฟาริซายก็โกรธดูหมิ่นผู้นั้น, กล่าวว่าเจ้านี้เป็นลูกศิษย์ไอ้เยซู. แต่พวกเราเป็นลูกศิษย์โมเซ.  เรารู้แน่ว่า, พระเจ้าสั่งสอนโมเซ.  แต่ไอ้เยซูนี้เราไม่รู้ว่า, มันมาแต่ไหน.   ผู้นั้นจึงตอบกับพวกฟาริซายว่า, เยซูที่ได้รักษาตาของข้าให้เห็นได้เช่นนี้แล, ท่านมาว่าไม่รู้ว่าเยซูนั้นมาแต่ไหนนั้น, ข้าประหลาดใจหนักหนา.  ตัวเราท่านรู้อยู่ว่า, พระเจ้าไม่ชอบแก่พวกคนผู้เป็นบาป.  ถ้าแลผู้ใดสวดอ้อนวอนถึงพระเจ้า ๆ ก็จะได้ยินรับเอาผู้นั้น.  ตั้งแต่สร้างโลกตลอดลงมาจนถึงทุกวันนี้, ในเหล่ามนุษย์ทั้งปวง. เราไม่ได้ยินว่ามีคนผู้ใด, ที่รักษาคนตาบอดแต่กำเนิดให้หายได้, ไม่มีเลย,  ถ้าเยซูนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้ว, ก็ไม่อาจสามารถรักษาได้.  พวกฟาริซายจึงตอบว่า, ตัวเจ้านี้เกิดเป็นคนบาป, จะกลับมาสั่งสอนเราเช่นนี้ไม่ควรเลย.   ว่าแล้วพวกฟาริซายก็ขับไล่ผู้นั้นเสีย, ไม่ให้เข้าในโรงธรรมได้.  ครั้นพระเยซูรู้ว่าเขาขับไล่คนนั้นเสียแล้ว, ก็มาพบผู้นั้น.  จึงตรัสถามว่า, ท่านจะเชื่อถือในบุตรพระเจ้าหรือ.  ผู้นั้นจึงถามว่า, บุตรพระเจ้าคือผู้ใดพระเจ้าข้า, ข้าพเจ้าปรารถนาจะเชื่อถือในท่านผู้นั้น.  พระเยซูจึงตอบแก่คนผู้นั้นว่า, เจ้าก็ได้เห็นบุตรพระเจ้าอยู่แล้ว.  คือผู้ที่พูดอยู่กับท่านบัดเดี๋ยวนี้. ผู้นั้นจึงตอบว่า พระเจ้าข้า, ข้าพเจ้าก็เชื่อถืออยู่แล้ว. ว่าแล้วผู้นั้นก็กราบลงนมัสการแก่พระเยซูอยู่ในที่นั้น.


บทที่ ๒๕

ฝ่ายพระเยซูจึงตรัสคำสั่งสอนคนทั้งปวง, เป็นข้อความอุปมาว่า. เราลงมาสู่โลก, เพื่อจะยังคนที่ไม่เห็น จะให้เห็น. แลคนที่เห็นอยู่แล้ว, จะให้กลับเป็นคนตาบอดมืดไป.
แจ้งว่า, คนที่รู้สึกว่าตัวเป็นคนบาป, เป็นคนโง่, แลมีจิตปรารถนาให้ตัวหายบาปหายโง่, ผู้นั้นแลคือคนตาบอด, ที่พระเยซูจะโปรดให้เห็น, ให้กลับเป็นดี, ให้มีสติปัญญามาก. แลคนที่ไม่รู้สึกตัว, ถือตัวว่าเป็นคนดีไม่มีบาป, แลว่าตัวเป็นคนมีสติปัญญามาก, ผู้นั้นแล, คือคนที่พระเยซูจะให้กลับเป็นคนมืด, ให้มีสติปัญญาเสื่อมลง, ไม่ยกโทษ ไม่โปรดยกบาปผู้นั้นเลย.

พวกฟาริซายได้ยินคำอุปมานั้น,  จึงถามว่า, พวกเรานี้คือคนตาบอดหรือ.  พระเยซูจึงตอบว่า, ถ้าท่านทั้งหลายเป็นคนตาบอดตามืดแล้ว, ก็จะไม่มีบาป.  บัดนี้ท่านทั้งปวงเข้าใจว่าตัวเป็นคนตาสว่าง.  เพราะเหตุฉะนี้บาปโทษของท่านยังติดอยู่.  เราจะบอกแก่ท่านทั้งหลายเป็นความจริงว่า,  ถ้าผู้ใดไม่เดินจำเพาะเข้าตรงประตูคอกแกะ, แลไปเที่ยวปีนเข้าที่อื่นที่ไม่มีประตู, ผู้นั้นแลเป็นขโมยเป็นโจร.  แต่คนผู้ตรงเข้าสู่ที่ประตูคอก, ผู้นั้นแลเป็นผู้ที่เลี้ยงแกะ.  คนผู้เฝ้าประตูเห็นผู้นั้นมา, ก็เปิดประตูลับให้เข้าไป.  แลฝูงแกะก็รู้จัก, จำสำเนียงผู้นั้นได้.  ผู้เลี้ยงนั้นเรียกฝูงแกะ, ฝูงแกะนั้นก็ติดตามผู้เลี้ยงออกไปข้างนอก.  ผู้เลี้ยงก็เดินนำหน้าฝูงแกะไป. ฝูงแกะตามไปเพราะรู้จักว่าเป็นเสียงผู้เลี้ยง.  ถ้าเป็นผู้อื่นแล้วฝูงแกะไม่ตามไปเลย.  ก็จะหนีผู้นั้นไป เพราะรู้จักว่าเป็นเสียงผู้อื่น.  คำอุปมานี้พระเยซูตรัสกับพวกฟาริซาย ๆ ก็ไม่เข้าใจในข้ออุปมานั้นได้.  พระเยซูจึงตรัสอีกว่า, ตัวเราคือประตูคอกแกะ.  คนทั้งปวงที่มาสำแดงว่า, ตัวเป็นผู้จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษนั้น, มิใช่ผู้เป็นประตูคอกแกะ. คนเหล่านั้นเป็นโจร.  ฝูงแกะคือคนผู้นับถือพระเจ้าก็ไม่เชื่อฟังผู้นั้น.  อันตัวเรานี้คือประตูคอกแกะแท้.  ถ้าผู้ใดจะเข้าในคอกแลตรงเข้าสู่ประตูคือตัวเรา, ผู้นั้นคงจะรอด, แลจะเข้าจะออกพบหญ้าได้กินสบาย.  ฝ่ายผู้เป็นโจรนั้นเข้ามา, เพื่อจะลักจะฆ่าจะทำลายฝูงแกะเสีย. แต่เรานี้มาปรารถนาจะให้ฝูงแกะมีชีวิตจิตใจจำเริญถาวรได้.  แลให้มีความสุขทวีขึ้นได้.  อันตัวเรานี้แลคือผู้เลี้ยงฝูงแกะด้วยเมตตา. อันผู้เลี้ยงแกะด้วยเมตตานั้น, ได้สู้เสียชีวิตของตนเพราะฝูงแกะ.  ฝ่ายผู้รับจ้างไม่เลี้ยงฝูงแกะด้วยเมตตา.  ไม่ได้เป็นเจ้าของแกะ.  ผู้นั้นครั้นเห็นหมาในเข้ามา, ก็จะละทิ้งฝูงแกะนั้นเสียวิ่งหนีไป. ผู้ที่ละทิ้งวิ่งหนีไปนั้น, เป็นแต่ผู้รับจ้างไม่ได้เอาใจใส่ในฝูงแกะเลย.  อันตัวเรานี้คือผู้เลี้ยงแกะด้วยเมตตา, แลรู้จักแกะนั้นทุกตัว ๆ แกะนั้นก็รู้จักเราทุกตัว ๆ  พระบิดาของเรารู้จักเราฉันใด, เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น.  ตัวเรานี้จะต้องปลงชีวิตแทนฝูงแกะ.  เรายังมีฝูงแกะอื่นที่ยังไม่เข้าในคอกแกะนี้.  ฝูงแกะนั้นเราคงจะนำเข้ามามั่นคง, จะเชื่อฟังสำเนียงเสียงเรา.  คอกแกะนั้นมีแห่งเดียว. ผู้เลี้ยงแกะก็มีผู้เดียว. เพราะเหตุฉะนี้พระบิดาจึงรักใคร่ในเรา, เพราะเราจะปลงชีวิตแทนฝูงแกะได้.  แล้วเราก็จะกลับถือเอาชีวิตนั้นคืนได้อีก.  ที่มนุษย์จะได้จับเอาชีวิตของเราไปจากเรานั้นหามิได้  แต่หากว่าเราปลงชีวิตลงเอง.  เรานี้มีฤทธิพอจะปลงชีวิตได้.  แลมีฤทธิพอจะจับเอาชีวิตคืนอีกได้.

เนื้อความในข้ออุปมานั้นว่า, นอกจากพระเยซูไป, ผู้ใหญ่ทั้งปวงที่มนุษย์นับถือว่า, ผู้นั้นจะช่วยให้คนพ้นจากบาปกรรมได้, ให้ไปสู่สวรรค์,  แลคนทั้งปวงซึ่งสั่งสอนศาสนา, ไม่ต้องกับพระเยซูนั้น, คนผู้นั้นแลคือผู้เป็นโจร, มาล่อลวงมนุษย์จะนำไปตกนรก.  ประการหนึ่งคอกแกะนั้น, คือศาสนาอันเที่ยงแท้.  ประตูคอกแกะนั้น คือพระเยซู.  ประตูอื่นไม่มีอีก. มีประตูแห่งเดียว.  ถ้าผู้ใดจะเข้าสู่ศาสนาที่นำคนไปสู่สวรรค์,  ก็จะต้องตรงเข้าหาพระเยซู.  ผู้ใดไม่ตรงเข้าหาพระเยซูไม่ได้ไปสู่สวรรค์เลย.  ประการหนึ่งคนทั้งปวงซึ่งสั่งสอนศาสนาด้วยปรารถนาจะหาแต่ลาภสักการ, ไม่มีความเมตตาแก่มนุษย์, ผู้นั้นแลคือคนผู้เป็นลูกจ้าง, ที่หนีหมาใน, แลละทิ้งฝูงแกะให้พลัดกระจัดกระจายไป.  แลฝูงแกะอื่นที่ยังไม่เข้าในคอก, ที่พระเยซูว่า, คงจะนำเข้ามาสู่คอกแห่งเดียวกัน, คือคนอื่น ๆ ทุกประเทศทุกภาษาที่บังเกิดขึ้นในภายหลังนั้น, พระเยซูก็คงจะนำให้เข้าสู่ศาสนาอย่างเดียวกัน.  แล้วจะพาขึ้นไปสวรรค์, ร่วมอยู่แห่งเดียวกัน.  คำที่พระเยซูกล่าวว่า, ผู้เลี้ยงแกะมีแต่ผู้เดียวนั้น, คือว่านอกจากพระเยซูไปแล้ว, ไม่มีผู้อื่นที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษ, ให้ไปสู่สวรรค์ได้ไม่มีเลย.

เมื่อพวกยูดายได้ฟังความอุปมาดั่งนั้น, ก็คิดไม่ต้องกัน, คิดต่าง ๆ กัน.  ลางคนว่าไอ้คนนี้, ปิสาจเข้าสิงอยู่ในกาย, ทำให้เสียจริตคลุ้มคลั่งวุ่นวายไป, ไม่ควรจะเชื่อฟังได้.  ลางคนว่าถ้อยคำที่ท่านสั่งสอนนั้น, มิใช่ถ้อยคำแห่งคนที่ปิสาจเข้าสิงอยู่หามิได้.  ปิสาจนั้นจะทำให้คนตาบอดเห็นเป็นปกติได้หรือ, ก็ทำไม่ได้เลย.


บทที่ ๒๖

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นฤดูหนาว, พระเยซูอยู่ในเมือง ยรูซาเลม. พวกยูดายก็มาล้อมรอบพระองค์อยู่. แล้วถามพระองค์ว่า, ท่านจะให้พวกข้าพเจ้ามีความสงสัยไปอีกสักกี่มากน้อย. ถ้าแลตัวท่านเป็นพระคริสต์, ซึ่งเป็นผู้ต้องในคำทำนาย, ที่จะโปรดมนุษย์นั้นแล้ว, ท่านจงบอกแก่พวกข้าพเจ้า, ให้เข้าใจถนัดเป็นอันดีเถิด. พระเยซูจึงตอบว่า, เราก็ได้บอกให้แจ้งอยู่แล้ว. พวกท่านก็ยังไม่เชื่อ. อันการอัศจรรย์ที่เรากระทำด้วยอาชญา[9]แห่งบิดาเรานั้น, ก็เป็นพยานของเราอยู่แล้ว. แต่พวกท่านไม่เชื่อ. อันการอัศจรรย์ที่เรากระทำด้วยอาชญาแห่งบิดาของเรานั้น, ก็เป็นพยานของเราอยู่แล้ว.  แต่พวกท่านก็ไม่เชื่อคำพยานนั้น, เพราะพวกท่านไม่ได้อยู่ในฝูงแกะของเรา, เหมือนคำเราว่าแล้ว. ฝูงแกะของเราก็จำเสียงเราได้.  ตัวเราก็รู้จักฝูงแกะนั้นทุกตัว ๆ แลฝูงแกะก็ติดตามเรามา.  แล้วเราก็ได้ให้ฝูงแกะนั้นมีชีวิต, แลความสุขตั้งอยู่เป็นนิจถาวร.   จะได้ถึงแก่วินาศฉิบหาย, แต่สักตัวเดียวนั้นไม่มีเลย.  คนจะมาล่อลวงลักเอาฝูงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์พระบิดา, แต่สักตัวเดียวก็ไม่ได้เป็นอันขาด.  อันเรากับพระบิดานั้น, เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.  พวกยูดายครั้นได้ฟังดั่งนั้น, ก็จับเอาก้อนหินจะขว้างเอาพระเยซู ๆ จึงตรัสแก่เขาว่า,  เราก็ได้กระทำการดีแห่งบิดาเราเป็นหลายประการแล้ว.  พวกท่านจะมาขว้างเอาเรา, เพราะเหตุการดีนั้นข้อไหนเล่า.  พวกยูดายจึงตอบว่า, เราไม่ได้ขว้างตัวเพราะทำการดีดอก.  เราจะขว้างตัวเพราะตัวพูดถ้อยคำหยาบช้า. ตัวเป็นแต่มนุษย์, พูดจาเกินตัวว่า, ตัวเป็นพระเจ้า.  พระเยซูจึงตอบว่า, ถ้าเราไม่ได้กระทำการสมกับพระบิดานั้นแล้ว, ถึงพวกท่านจะไม่เชื่อถือในเราก็ตามเถิด.  แต่ว่าจงเชื่อถือในการที่เรากระทำนั้น, เพื่อพวกท่านจะได้รู้, แลจะได้เชื่อถือว่า, พระบิดาอยู่ในตัวเรา ๆ อยู่ในพระบิดา, เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.  ฝ่ายพวกปุโรหิตแลพวกฟาริซาย, ได้ฟังดั่งนั้น, ก็ชักชวนกันมา, จะจับพระเยซูฆ่าเสีย, เป็นหลายครั้ง. ก็มิอาจจับได้, เพราะกลัวราษฎรทั้งปวง, ที่นับถือพระเยซูนั้นมาก.  ครั้งนั้นในเมืองยรูซาเลมเกิดวุ่นวายนัก, เพราะคนทั้งปวงชังพระเยซูบ้าง, รักพระเยซูบ้าง.  ต่างคนต่างคิดจะฆ่าพระองค์เสีย.  เพราะเหตุฉะนี้, พระเยซูจึงออกจากเมืองยรูซาเลม, ข้ามแม่น้ำยอระเดนไปอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง.  มีฝูงคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ ๆ ก็สั่งสอนด้วยความเปรียบอุปมาต่าง ๆ หลายประการ, อยู่ที่นั่นหลายวัน.

เมื่ออายุสมพระเยซูประมาณได้สามสิบสามปี, ขณะนั้นพระเยซูคิดจะกลับไปสู่เมืองยรูซาเลม, เหตุเพราะพระองค์รู้ว่า, พระองค์เกือบจะถึงวันที่พระองค์จะต้องตายแทนโทษมนุษย์ในเมืองนั้น.  ดำริแล้วพระองค์ก็เที่ยวตลอดเมือองคาลิลาย, แลเมืองซะมาเรีย.  พระองค์ก็เดินมาถึงบ้านแห่งหนึ่ง, ได้พบคนเป็นโรคเรื้อนสิบคน.  เขาร้องมาแต่ไกลว่า, ข้าแต่พระเยซูผู้เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า, ขอพระองค์ได้เมตตาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด.  พระเยซูจึงตอบว่า, พวกเจ้าจงพากันไปหาปุโรหิตเถิด.  พวกโรคเรื้อนทั้งปวงก็พากันไปตามคำพระองค์สั่ง.  ครั้นเขาเดินไปตามทาง, โรคเรื้อนนั้นก็หาย, กายสะอาดดี.  ทั้งสิบคนต่างคนต่างไปจากที่นั่น.  แต่คนหนึ่งหาไปไม่, ด้วยมีจิตกตัญญูรู้คุณ. จึงเข้ามากราบลงที่เท้าพระเยซู,  แล้วกล่าวคำสรรเสริญคุณพระเจ้าต่าง ๆ พระเยซูจึงตรัสถามว่า, คนที่เรารักษาให้หายนั้น, เป็นสิบคนมิใช่หรือ.  คนเก้าคนนั้นอยู่ในเล่า.  มีแต่เจ้าผู้เดียวมาสรรเสริญพระเจ้า.  แล้วพระองค์จึงตรัสแก่ผู้นั้นว่า, เจ้าจงลุกขึ้นไปตามทางของตัวเถิด.  โรคหายดีแล้ว.  ทั้งนี้ก็เพราะท่านมีจิตเชื่อถือในเรามาก.

ครั้นพระเยซูเดินไปอีกหน่อยหนึ่ง, ยังมีมุขมนตรีหนุ่มคนหนึ่ง, เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก, วิ่งมาคุกเข่าลงกราบไหว้, ต่อหน้าพระองค์.   จึงทูลพระองค์ว่า, ข้าแต่พระอาจารย์ผู้ประเสริฐ, จะให้ข้าพเจ้าประพฤติที่ดีเป็นประการใด, ข้าพเจ้าจึงจะได้จำเริญชิวิตอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์.  พระเยซูจึงตอบว่า, ท่านจงประพฤติตามคำโอวาทของพระเจ้าเถิด. มุขมนตรีจึงถามว่า, จะให้ประพฤติตามโอวาทบทใดเล่าจึงจะควร.  ฝ่ายพระเยซูจึงตรัสว่า, คำบัญญัตินั้นท่านก็รู้อยู่แล้ว, คือว่าอย่าให้ฆ่าคนตัดชิวิตเขาหนึ่ง.  อย่าล่วงประเวณีผิดเมียเขาหนึ่ง.  อย่าลักทรัพย์ของผู้อื่นหนึ่ง.  อย่าเป็นพยานเท็จโกหกใส่ความเขาเปล่า ๆ หนึ่ง. ให้นับถือบิดามารดาของตัวหนึ่ง.  รักตัวอย่างไรให้รักเพื่อนบ้านอย่างนั้นหนึ่ง.  มุขมนตรีจึงตอบว่า, อันคำโอวาทดั่งว่ามานี้, ข้าพเจ้าก็ประพฤติถือไว้ได้แล้ว, ตั้งแต่เป็นเด็กมาจนทุกวันนี้มิได้ขาด.  บัดนี้พระองค์จะให้ข้าพเจ้าประพฤติตามบทประการใดอีกบ้างเล่าจึงจะดี.  พระเยซูจึงตอบว่า, สิ่งทั้งปวงก็ดีอยู่แล้ว.  แต่ยังขาดอยู่ประการหนึ่ง.  ท่านจงกลับไปบ้าน, เอาทรัพย์สมบัติของตัว, แจกจ่ายให้ทานแก่คนจนเสียให้สิ้น.  แล้วจึงกลับมาประพฤติทำตามเราให้ทุกอย่าง, ท่านจึงจะได้สมบัติไม่สิ้นสุดในสวรรค์.  ท่านจงหยิบเอากางเขนขขึ้น, แลติดตามเรามาเถิด.  มขมนตรีได้ฟังดั่งนั้น, ก็เป็นทุกข์เศร้าโศกในใจนัก.  มิอาจจะสละทรัพย์ของตนได้.  เพราะทรัพย์ของตนมีมาก.  จึงลาพระเยซูไปบ้าน.


บทที่ ๒๗

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง, ลาสะโร ผู้น้องชายแห่งนาง มาตา, แลนางมาเรีย อยู่ในบ้านเบธาเนียนั้น, ป่วยเป็นไข้นัก. นางมาตาและนางมาเรียทั้งสอง, กลัวว่าน้องชายจะไม่รอดชีวิตได้. จึงวานเพื่อนบ้านกันไปหาพระเยซู, เชิญให้มารักษา. ครั้นพระเยซูแจ้งดังนั้น, ก็ยังมิได้ไปในวันนั้น, งดอยู่ถึงสองวัน. แล้วจึงตรัสบอกแก่ศิษย์ว่า, ลาสะโรผู้เป็นเพื่อนของเรานั้นตายเสียแล้ว. เราจะต้องลงไปเยี่ยม. พระเยซูก็พาศิษย์เดินมาตามทาง. ครั้นมาใกล้จะถึงเมืองเยริโค, ก็พบคนตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมทาง. คนหนึ่งหนึ่งชื่อ บาธะเมีย. คนหนึ่งชื่อไม่ปรากฏ. คนตาบอดได้ยินฝูงคนเป็นอันมากเดินมา, จึงถามว่าบุคคลผู้ใดเดินไป.  เขาจึงบอกให้รู้แจ้งว่า, พระเยซูเดินไป.  คนตาบอดทั้งสองได้ฟังดั่งนั้น, ก็กล่าวว่า โอ้พระเจ้าข้า, ขอพระองค์ได้เอ็นดูด้วยช่วยโปรด, ให้ข้าพเจ้าได้เห็นดีเถิด.  คนทั้งสองร้องขึ้นดังนี้หลายหน. ฝูงคนที่ตามพระเยซูไป, ก็ห้ามมิให้ร้อง.  คนตาบอดก็ไม่ฟัง, ขืนร้องขึ้นอีกหลายครั้งดังกว่าก่อน.  พระเยซูได้ฟังดั่งนั้น, ก็ให้ศิษย์พาคนทั้งสองเข้ามา.  พระองค์ก็เอามือต้องเข้าที่ตาคนทั้งสอง, แล้วตรัสว่า, จงแลเห็นเถิด. เพราะตัวเชื่อถือเราจึงหาย.  คนตาบอดทั้งสองนั้นโรคในตาก็หายดี. แล้วก็ติดตามพระเยซูไป.

เมื่อพระเยซูมาเกือบจะถึงบ้านเบธาเนีย, นางมาตาได้ยินว่า, พระองค์ยังมาในหนทางนั้น, จึงออกมาต้อนรับพระองค์ถึงกลางทาง.  แต่นางมาเรียยังอยู่ในเรือน. นางมาตาจึงทูลพระองค์ว่า, ถ้าแม้นพระองค์ได้อยู่ที่นี่แล้ว, น้องของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย.  แต่บัดเดี๋ยวนี้, ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่า, ถ้าพระองค์จะขอสิ่งใด ๆ แต่พระเจ้า ๆ ก็คงจะโปรดให้สิ้น. พระเยซูจึงตอบว่า, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า, เขาจะเป็นขึ้นมาในวันที่สุดปลายสำหรับให้มนุษย์เป็นขึ้นมาจากตายนั้น.  พระเยซูตอบว่า, เรานี้คือผู้ที่ให้มนุษย์เป็นขึ้นได้, แลให้มีชีวิตอีก.  บุคคลผู้ใดเชื่อถือในเรา, ถึงมาตรแม้นตัวตายเสียแล้ว.  ผู้นั้นก็คงมีชีวิตอีก.  แลบุคคลผู้ใดยังมีชีวิตแลเชื่อถือในเรา, ผู้นั้นจะไม่รู้ตาย.  ข้อความนี้เจ้าเชื่อหรือไม่.  มาตาจึงทูลว่า, ข้าพเจ้าได้เชื่ออยู่พระเจ้าข้า.  ข้าพเจ้าถือว่า, ท่านคือพระคริสต์บุตรพระเจ้า, ที่จะมาสู่แผ่นดินโลก. ว่าดั่งนั้นแล้ว, มาตาก็กลับไปบ้าน, บอกกับมาเรียเป็นคำลับว่า, พระอาจารย์มาแล้ว, แลได้เรียกเจ้าไปหา.  มาเรียได้ฟังดั่งนั้น, ก็รีบไปโดยเร็วถึงที่พระเยซูอยู่.  ฝ่ายชาวเมืองยูดายมากมาย, ที่มาเยี่ยมเอาเนื้อเอาใจมาเรียนั้น, เมื่อเห็นมาเรียลุกขึ้นออกไปเร็ว, เขาสำคัญว่า, มาเรียจะออกไปร้องไห้ที่หลุมฝังศพน้องชาย.  เขาก็ตามหลังมาเรียไป.  ครั้นมาเรียมาถึงพระเยซูแล้ว, ก็กราบลงที่เท้าพระองค์, จึงว่าโอ้พระเจ้าข้า, ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่แล้ว, น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย.  เมื่อพระเยซูเห็นนางมาเรีย, แลชาวเมืองยูดายร้องไห้รักลาสะโรครั้งนั้น, พระองค์ก็พลอยเป็นทุกข์ด้วย,  ถอนใจใหญ่.  แล้วถามว่าศพลาสะโรฝังไว้ที่ไหน.  เขาบอกว่า, เชิญพระองค์มาดูเถิด.  ขณะนั้นน้ำพระเนตรก็ไหลออก.  ชาวเมืองยูดายเห็นดั่งนั้น, เขาก็บอกกันว่าดูเถิด, ท่านรักลาสะโรมากเท่าไร. บางคนพูดกันว่า, คนนี้ที่รักษาให้คนตาบอดให้หายได้, ถ้าท่านปรารถนาจะให้ลาสะโรคนนี้ไม่ตาย, จะทำไม่ได้หรือ.  พระเยซูจึงถอนใจใหญ่อีก.  อันที่ฝังศพลาสะโรนั้น, เป็นหลุมมีแผ่นศิลาทับอยู่ปากหลุม.  พระเยซูสั่งเขาว่า, ให้เอาแผ่นศิลานี้ออกเสีย.  มาตาจึงบอกกับพระองค์ว่า, พระองค์เจ้าข้า, ศพนี้เห็นจะมีกลิ่นเหม็นนัก, เพราะตายได้สี่วันแล้ว.  พระเยซูจึงตรัสว่า, แต่ก่อนเราว่าแก่เจ้าแล้วว่า, ถ้าเจ้าเชื่อถือ, ก็คงจะได้เห็นฤทธิรัศมีแห่งพระเจ้ามิใช่หรือ.  เขาจึงยกแผ่นศิลาออกจากปากหลุมนั้นเสีย. พระองค์จึงเงยพระพักตร์ขึ้นทูลแก่พระบิดา.  แล้วก็ร้องขึ้นเป็นเสียงอันดังว่า, ลาสะโรเอ๋ย, จงเป็นขึ้นมาเถิด.  ศพลาสะโรนั้น, ก็เป็นขึ้นมาจากตาย. ผ้าห่อยังพันกายอยู่.  หน้าตาผ้าก็ยังปิดอยู่. พระองค์ก็สั่งให้เปลื้องเสีย.  เขาก็ทำตามพระเยซูสั่ง. พวกชาวเมืองยูดายเมื่อได้เห็นเหตุอัศจรรย์ดั่งนั้น, ก็เชื่อถือในพระเยซูเป็นหลายคน.  แต่บางคนเอาเนื้อความไปบอกแก่พวกฟาริซาย. พววกฟาริซายครั้นได้ยินกิตติศัพท์ดั่งนั้น, จึงปรึกษากันว่า, เราจะทำประการใดดี,  ด้วยว่าพระเยซูนี้กระทำการอัศจรรย์ได้หลายประการแล้ว.  ครั้นเราจะละมันไว้ช้า, พวกชาวเมืองทั้งปวงจะลุ่มหลงนับถือมันมากขึ้น.  แลชาวเมืองโรมจะมาชิงเอากรุง, แลประเทศของเราเสีย.  ครั้งนั้นปุโรหิตใหญ่คนหนึ่ง, ชื่อกายะฟา, ได้ยินดั่งนั้น, จึงว่าท่านทั้งหลายเป็นคนไม่รู้อะไรเลย. แลไม่รู้ว่าจำเป็นจะต้องให้คนตายแทนโทษราษฎรทั้งปวงสักคนหนึ่ง. บรรดาคนที่นั่งปรึกษากันอยู่, ครั้นได้ยินปุโรหิตผู้ใหญ่ว่าดั่งนั้น, ก็คอยหาเหตุที่จะจับพระเยซูฆ่าเสีย.

ขณะนั้นเกือบจะถึงวันที่เป็นวันคนทั้งปวงนับถือประชุมเลี้ยงโต๊ะกัน.  เป็นครวระลึกถึงการ, พระเจ้าประหารลูกหัวปีทั่วไป, ในเมืองอายกุบโต, แลไม่ได้ประหารลูกหัวปีในพวกอิศระเอล.  อันเลี้ยงโต๊ะคราวนั้น, ชื่อว่า พาซะฆา, แปลว่าล่วงพ้นไป.  มีฝูงคนมากมาย, เข้ามาในเมืองยรูซาเลมจัดแจงชำระกาย, แลตกแต่งที่ทาง, แลเครื่องบริโภคไว้เสร็จแล้ว, คอยท่าจะเลี้ยงกัน.  เมื่อคนทั้งปวงได้ยินข่าวแต่ก่อนว่า, พระเยซูกระทำให้ลาสะโรเป็นขึ้นมาจากตายได้, ต่างคนต่างเที่ยวหาพระเยซู, ด้วยจะใคร่รู้จักตัว.  แต่ยังไม่ได้พบพระองค์.  เขาพูดกันว่า, เห็นท่านจะมาอยู่ในเมืองนี้ดอกกระมัง.  ฝ่ายพวกปุโรหิต, แลพวกฟาริซาย. จึงประกาศสั่งแก่ฝูงคนทั้งปวงว่า, ถ้าผู้ใดพบตัวเยซูแล้ว, จงมาบอกแก่เราให้รู้ด้วย. ขณะนั้นยังอีกหกวันจะถึงวัน, ที่ชาวเมืองจะทำการเลี้ยงโต๊ะกัน.  พระเยซูจึงเข้าไปในบ้านเบธาเนีย, หาลาสะโรแลนางมาเรียแลนางมาตา, ผู้เป็นพี่สาวลาซะโร.  คนทั้งสามจึงเชิญพระเยซูกินโต๊ะด้วยพร้อมกัน. พวกยูดายมากมายมาหาพระเยซูที่นั่น, ด้วยอยากพบเห็นลาสะโร, ที่พระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น.  ขณะนั้นพวกปุโรหิต, แลพวกฟาริซาย, จึงคิดกันว่า, จะจับลาสะโรฆ่าเสีย, ด้วยเห็นว่า, พวกยูดายเชื่อถือในพระเยซูเพราะลาสะโรมากมาย. 


บทที่ ๒๘

ครั้นอยู่มาอีกวันหนึ่ง, พระเยซูขึ้นขี่ลาไปจากบ้านเบธาเนีย, จะไปสู่เมืองยรูซาเลม. เมื่อใกล้ถึงเชิงภูเขาเอลายโอน ฝูงลูกศิษย์, แลคนอื่นเป็นอันมาก, ที่แห่ห้อมพระองค์ไป, ก็เกิดความยินดีนัก. ต่างคนต่างก็ตัดเอาทางตาล, แลกิ่งไม้อื่น ๆ. มาปูที่หนทาง, ให้พระเยซูขี่ลาเดินไปบนนั้น. ลางคนก็เปลื้องผ้าห่มออกปู ให้พระเยซูด้วย. จึงสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงอันดังทุกคน, เพราะการอัศจรรย์ใหญ่เขาได้เห็นทั่วกัน.  เขากล่าวสรรเสริญว่า, ความสุขอันใหญ่, จงมีแก่บุตรพญาดาวิด,  ผู้เป็นกษัตริย์ใหญ่ดำเนินมาในนามชื่อพระยิโฮวะเจ้า.  จงมีความสุขในเบื้องบนสวรรค์, แลรัศมีใหญ่ที่สุด.

ฝ่ายพวกฟาริซายบางคนทูลว่า, พระอาจารย์เจ้าข้า, จงห้ามพวกศิษย์ของท่านเถิด.  พระเยซูตอบกับเขาว่า, ถ้าคนเหล่านี้อดกลั้นเสีย, ไม่ร้องสรรเสริญ, หินเหล่านี้ก็จะออกเสียงดัง.  พวกฟาริซายเห็นไม่ได้การ, เขาจึงพูดกันว่า, เราทำเสียเปล่า ๆ พวกเราไม่เห็นหรือ.  ดูเถิดไพร่พลทั่วแผ่นดิน, ก็ติดตามเยซูไปแล้ว.  ส่วนพระองค์เมื่อใกล้จะถึงเมืองยรูซาเลม, ก็ทอดพระเนตรดูเมือง.  ก็เกิดเป็นทุกข์น้ำพระเนตรไหลออก, เพราะพระองค์ล่วงรู้ในเบื้องหน้า ว่า, ชาวเมืองนั้นจะถึงวินาศฉิบหายหมด.  ครั้งนั้นในเมืองยรูซาเลมอื้ออึงนัก,  ไต่ถามกันถึงพระเยซูว่า, นี้คือผู้ใด. ฝูงคนทั้งปวงที่ติดตามพระองค์มา ตอบว่า, นี้คือเยซูผู้ทำนายแห่งบ้านนาซาเรด, ในเมืองคาลิลาย.  แล้วพระเยซูเข้าไปในวิหารพระเจ้า, ขับไล่บรรดาคนที่ขายของในวิหาร, เหมือนครั้งก่อน.  ขณะนั้นมีคนตาบอด, คนง่อย, คนขาหัก, เป็นหลายคน, มาหาพระเยซู ๆ ก็รักษาให้หายทุกคน, ด้วยแต่พระโอษฐ์ตรัส. ครั้นพวกปุโรหิตแลพวกฟาริซาย, แลพวกอาลักษณ์, ได้เห็นการอัศจรรย์, ที่พระองค์สำแดงนั้น, แลได้ยินฝูงเด็กทั้งปวงสรรเสริญพระเยซูในพระวิหารว่า, ความสวัสดิ์จำเริญอันยิ่ง, จงมีแก่ราชบุตรพญาดาวิดเถิด, เขาก็กริ้วโกรธ.  จึงถามพระเยซูว่า, ท่านได้ยินข้อความคนเหล่านี้กล่าวหาหรือ.  พระเยซูจึงตอบว่า เราได้ยินอยู่แล้ว. ท่านยังไม่ได้อ่านหรือที่ว่า, เราจะรับคำสรรเสริญจากปากของเด็กอ่อน, ที่ยังกินนมอยู่นั้น.  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกศิษย์ว่า,  อันเวลาชั่วโมงกำหนด. ที่บุตรมนุษย์จะได้คำสรรเสริญ, แลรัศมีนั้นมาถึงอยู่แล้ว. แต่บัดนี้จิตใจของเราไม่สบายเลย.  เราจะกล่าวประการใดดีหนอ.  หรือควรเราจะอ้อนวอนพระบิดาให้เราพ้นไปจากเวลานี้.  อย่าเลย, เพราะว่าเรามาถึงเวลานี้, ด้วยจะสู้ทนเวทนา.  แล้วพระองค์จึงทูลแก่พระบิดาว่า, ขอให้นามชื่อพระองค์ท่านรุ่งเรืองปรากฏเถิด.  ในขณะนั้น, มีเสียงตรัสลงมาจากสวรรค์ว่า, ได้ให้นามชื่อนั้นรุ่งเรืองแล้ว, ก็คงได้รุ่งเรืองอีก.  คนทั้งปวงที่ยืนอยู่นั่น, ลางคนว่า, เสียงฟ้า. ลางคนว่า, ทูตสวรรค์มาบอก.  พระเยซูจึงตอบ ว่า เสียงอันนี้ลงมาจำเพาะท่านทั้งหลายให้เชื่อเรา.  แล้วพระองค์ตรัสต่อไปเป็นคำทำนายว่า, ถ้าเขายกตัวเราจากแผ่นดิน, ไว้กลางอากาศ, เขาคงจะชักนำมนุษย์ทั้งปวงให้มาถึงเรา.  ในขณะนั้นคนทั้งปวงรักใคร่, เข้าเป็นศิษย์พระเยซูมากมาย.  พวกมุขมนตรีผู้ใหญ่, ก็เชื่อถือในพระเยซูเป็นหลายคน.  แต่เขาไม่ได้สำแดงว่า,  ตัวเชื่อถือในพระเยซู, เพราะว่ากลัวพวกปุโรหิต, แลพวกฟาริซายจะห้ามเสีย, ไม่ให้เข้าไปในโรงธรรม.  เพราะเขารักความสรรเสริญแต่มนุษย์,  มากกว่ารักสรรเสริญแห่งพระเจ้า.

ครั้นเพลาเย็นวันนั้น, พระเยซูพาศิษย์ผู้ใหญ่สิบสองคน, ออกจากเมืองยรูซาเลม, ไปบ้านเบธาเนีย, หยุดพักอยู่ที่บ้านนั้นคืนหนึ่ง.  ครั้นรุ่งเช้าขึ้นก็กลับไปเมืองยรูซาเลมอีก.  ครั้นมาถึงกลางทาง, พระองค์หิวอยากอาหาร.  แลเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งแต่ไกล, สำคัญว่ามีลูก.  จึงเดินเข้าไปดู. ลูกมะเดื่อนั้นไม่มี ๆ แต่ใบ.  พระเยซูจึงตรัสสาป สรรว่า, ตั้งแต่นี้ไปมะเดื่อนี้จะไม่มีลูก. มนุษย์ไม่ได้กินอีกแล้ว.  พอตรัสแล้วต้นมะเดื่อนั้น, ใบก็เหี่ยวแห้งร่งโรย, ตายไปในขณะนั้น.

ครั้นพระองค์มาถึงเมืองยรูซาเลม,  ก็เข้าในวิหารพระเจ้า.  เห็นคนตั้งร้านขายของ ขายวัว. พระองค์ก็ขับไล่, ให้ออกไปเสียจากวิหารอีกเหมือนหนหลัง.  แล้วหยุดยั้งสั่งสอนคนอยู่ที่นั่น.  ฝ่ายพวกอาลักษณ์ แลผู้ใหญ่ในพวกฟาริซาย, แลพวกผู้ใหญ่ในพวกพลไพร่, ได้รู้ดั่งนั้น, ก็คิดอ่านหาเหตุที่จะจับตัวพระเยซูไปฆ่าเสีย.  แต่ยังมิอาจจะจับได้, เพราะเกรงราษฎรอยู่.  ด้วยราษฎรอัศจรรย์ใจถึงคำโอวาทแห่งพระองค์นัก.  ก็อุตส่าห์ติดตามฟังพระองค์. ครั้นเพลาเย็นพระองค์ก็ออกจากเมืองยรูซาเลม, ออกไปอาศัยอยู่นอกบ้าน.  ครั้นเพลารุ่งเช้าพระองค์พาพวกศิษย์เดินไปตามทาง, ถึงต้นมะเดื่อที่พระองค์ตรัสสาปสรรไว้นั้น. พวกศิษย์ก็ได้เห็นต้นมะเดื่อนั้นตายแห้งแต่ต้นจนตลอดราก.  ครั้นเขาได้เห็นดั่งนั้น,  พวกศิษย์ก็ประหลาดใจนัก,  ฝ่ายเพชโรจึงทูลแก่พระองค์ว่า, ขอพระองค์จงเห็นต้นมะเดื่อที่พระองค์ตรัสสาปสรรนั้น, แห้งไปหมดแล้ว, พระเยซูจึงตัสว่า, ท่านจงมีความเชื่อถือในพระเจ้าเถิด.  เราว่าแก่ท่านเป็นแน่ว่า, ถ้าท่านมีความเชื่อถือไม่สงสัยแล้ว, แม้นท่านจะกระทำเช่นเราทำแก่ต้นมะเดื่อนั้น, ก็อาจจะกระทำได้.  ถ้าแม้นผู้ใดเชื่อถือมั่นคง, ไม่มีสงสัยแล้ว, ก็อาจจะสั่งแก่ภูเขาว่า, เอ็งจงถอยออกไปจมอยู่ในทะเลเถิด. ก็จะเป็นเช่นคำสั่งนั้น. สิ่งทั้งหลายที่ท่านทั้งปวงอ้อนวอนในคำอธิษฐานนั้น, ด้วยความเชื่อถือ, ท่านก็คงได้เป็นแท้. เหตุฉะนี้เราจะสั่งแก่ท่านทั้งหลายว่า, สิ่งอันใดที่ท่านปรารถนา, เมื่อสวดอ้อนวอนอยู่นั้น, จงเชื่อลงว่า, เราจึงจะได้.  ท่านจึงจะได้แท้. ขณะเมื่ออ้อนวอนอยู่นั้น, ถ้ามีความแค้นเคืองใจแก่ผู้ใด ๆ อยู่แล้ว, ก็ให้ยกเสียอย่าถือไว้ในใจเลย, เพื่อพระบิดาซึ่งอยู่ในสวรรค์, จะได้ยกโทษแห่งตนด้วย.  ถ้าท่านไม่อดโทษเขา, พระบิดาก็จะไม่โปรดบาปแก่ตัวเลยเหมือนกัน.


บทที่ ๒๙

ฝ่ายพระเยซูอยู่สั่งสอนมงคลโอวาท, ในกรุงยรูซาเลม. ข้อความที่พระองค์สั่งสอนนั้น, มากมายเป็นคำดีนัก, แต่เหลือที่เราจะคัดแปลลงในที่นี่ให้หมดได้ เพลากลางวันพระองค์สั่งสอนในวิหาร. กลางคืนก็ออกจากกรุงยรูซาเลม ไปอาศัยในภูเขาเอลายโอน. รุ่งเช้าก็กลับมาสู่วิหารอีก. ฝูงคนเป็นอันมาก, มาคอยฟังพระองค์ในที่นั้น. ในวันพุธอีกสองวัน, จะถึงคราวที่พวกอิศระเอลประชุมกินโต๊ะ ถือศีลพาซะฆา. พวกปุโรหิตผู้ใหญ่ แลพวกอาลักษณ์, แลพวกผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวง, ประชุมกันที่จวนปุโรหิตผู้ใหญ่ชื่อกายะฟา. เขาปรึกษากันด้วยจะจับพระเยซู, เป็นการลักลอบฆ่าเสีย. บางคนว่า, อย่าทำในวันพาซะฆาเลย, กลัวจะเกิดความจลาจล, เพราะคนประชุมพร้อมกันมากมายในวันนั้น.

ฝ่ายปิสาจซาทันก็เข้าดลใจยุดาอิศกาโรธ, ผู้อยู่ในพวกศิษย์สิบสองคนนั้น.  ยุดาก็ออกไปหาพวกปุโรหิต, ด้วยจะรับสินบนนำเขามาจับพระเยซู.  ยุดาพูดจากันถึงการที่จะมอบพระเยซูให้เขา.  แล้วยุดาถามเขาว่า, ท่านจะให้อันใดแก่ข้า ๆ จะชี้ตัวเยซูให้แก่ท่าน.  เข้าได้ยินยุดาว่าดั่งนั้นก็ดีใจ, สัญญากับยุดาว่า, เราจะให้เงิน.  ว่ากล่าวตกลงกันเป็นเงินสินบนสามสิบแผ่น.  ตั้งแต่นั้นมา, ยุดาก็คอยหาช่องที่พระเยซูอยู่ในผู้คนน้อยเมื่อใด, ก็จะนำเขามาให้จับเมื่อนั้น.

ครั้นต่อมาถึงวันพฤหัสฯ, เป็นวันต้นพาซะฆา.  พระเยซูใช้ศิษย์สองคน, คือเพชโรและโยฮัน, ให้ตกแต่งห้องแห่งหนึ่ง, สำหรับเลี้ยงพาซะฆาพร้อมกันกับลูกศิษย์สิบสองคน.  เข้าก็ไปตกแต่งห้อง, ในกรุงยรูซาเลมตามพระองค์สั่ง.  เพลาค่ำวันนั้น, พระองค์ก็ไปนั่งในห้องนั้น.  พวกศิษย์สิบสองคนก็ไปอยู่ด้วย.  พระองค์จึงตรัสว่า, เราปรารถนานักจะเลี้ยงพาซะฆาคราวนี้, กับด้วยท่านก่อนเราจะต้องทรมานถึงตาย.  แล้วพระองค์กินโต๊ะตามธรรมเนียมศีลพาซะฆานั้น.  คราวนั้นพวกศิษย์, บางคนทุ่มเถียงกันว่า,  พวกเราผู้ใดจะเป็นใหญ่.  พระเยซูรู้ดั่งนั้น, ก็ลุกขึ้นถอดเสื้อครุยชั้นนอกออกเสีย.  แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดตัวผูกคาดเอวไว้.  แล้วเอาน้ำรินลงในชาม.  แล้วก็ไปล้างตีนพวกศิษย์ทุกคน ๆ แล้วก็เอาผ้าที่คาดเอวนั้น, เช็ดตีนพวกศิษย์ด้วย. ขณะเมื่อพระองค์จะมาล้างตีนของเพชโร ๆ ก็ถามว่า, พระองค์เจ้าข้า, ท่านจะมาล้างตีนข้าพเจ้าหรือ.  พระเยซูจึงตอบว่า, ที่เราทำนั้น, บัดเดี๋ยวนี้ท่านยังไม่รู้.  ต่อไปภายหน้าท่านจึงจะรู้.  เพชโรจึงทูลพระองค์ว่า, ท่านจะไม่ล้างตีนของของข้าพเจ้าเลย.  พระเยซูตอบว่า, ถ้าเราไม่ล้างท่าน ๆ ก็ไม่ได้ส่วนกุศลในเราเลย.  เพชโรจึงทูลว่า, พระองค์เจ้าข้า, อย่าว่าแต่ตีนเท่านั้นเลย,  จงล้างมือล้างหัวของข้าพเจ้าด้วย. พระเยซูจึงตอบว่า, ผู้ใดต้องล้างเสียแล้ว, ไม่ต้องล้างนอกแต่ตีน, จึงเป็นสะอาดหมดจด. เมื่อพระเยซูล้างตีนพวกศิษย์แล้ว, ก็เอาเสื้อพระองค์ใส่เข้า, แล้วนั่งลงอีก. แล้วพระองค์จึงตรัสกับเขาว่า, ที่เราทำแก่ท่าน ๆ ได้รู้หรือ. ท่านเรียกเราว่าอาจารย์, แลว่าพระองค์เจ้าข้า.  ท่านว่าดั่งนี้ก็ชอบอยู่, เพราะเราเป็นดั่งนั้นแท้. นี่แล, ถ้าเราเป็นเจ้าแลเป็นอาจารย์, มาล้างตีนของท่าน, ควรท่านทั้งหลายจะล้างตีนกันแลกัน.  เพราะเราได้ทำเยี่ยงอย่างให้แก่ท่าน, เพื่อท่านทั้งหลายจะได้กระทำเหมือนเราทำให้แก่ท่าน.  เราว่ากับท่านเป็นคำเที่ยงแท้แม่นมั่น.  บ่าวก็ไม่เป็นใหญ่กว่าผู้เป็นเจ้าของ, แลคนใช้สอยก็ไม่เป็นใหญ่กว่าผู้ใช้.  ถ้าท่านทั้งหลายรู้ในข้อสั่งสอนนี้แล้ว, ถ้าทำตามจะได้ความสุขเป็นอันมาก.

ขณะเมื่อพระเยซูนั่งกินโต๊ะคราวนั้น, พระองค์ตรัสว่า, ในพวกท่านที่เลี้ยงกันกับเรา, มีอยู่คนหนึ่ง, จะมาชี้มอบเราให้แก่เขา.  ดูเถิดมือคนที่จะมอบเรานั้น, อยู่บนโต๊ะกับเรา.  พวกศิษย์ทั้งปวงจึงไต่ถามกันว่า, คนที่จะมากระทำนั้นคือผู้ใด.  ต่างคนต่างสงสัยเป็นทุกข์นัก.  จึงถามพระเยซูเป็นลำดับทีละคน ๆ ว่าท่านเจ้าข้า, จะเป็นข้าพเจ้าหรือ.  พระเยซูจึงตอบกับเขาว่า, คนในสิบสองคนนี้ ที่เขาเอามือจุ่มลงในชามอันเดียวกันนั้นแล.  บุตรมนุษย์คงจะตายตามที่อันพระเจ้าตั้งไว้แล้วสมคำทำนายว่า.  แต่วิบากแก่คนที่มอบบุตรมนุษย์.  ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็ดีกว่า.  พวกศิษย์ก็ยังสงสัยแลดูตากัน.  ฝ่ายโยฮันนั่งอยู่ชิดพระองค์.  เพชโรจึงทำใบ้ให้โยฮันถามพระองค์.  โยฮันจึงถามว่า, ท่านเจ้าข้าจะเป็นผู้ใด.  พระเยซูตอบว่า, คนที่เราจะเอาขนมชุบน้ำแกงส่งให้, คือผู้นั้นแล.  แล้วพระเยซูก็เอาขนมชุบน้ำแกง, ส่งให้ยุดาอิศกาโรธกิน.  ยุดาใจก็กำเริบ, เพราะซาทันเข้าดลใจ.  จึงถามพระเยซูว่า, พระอาจารย์เอ๋ย, จะเป็นข้าพเจ้าหรือ.  พระเยซูจึงว่า, ที่ท่านว่านั่นแหละ.  แล้วพระองค์จึงตรัสกับยุดาว่า. เหตุที่ท่านจะทำก็เร่งทำเร็ว ๆ เถิด.  ยุดาได้ฟังดั่งนั้น. ก็ออกจากที่ประชุมในเพลากลางคืนวันนั้น. ยุดาคอยหาช่องที่จะส่อเสียดมอบพระองค์


บทที่ ๓๐

ในคืนนั้นครั้นกินโต๊ะแล้ว, พระองค์หยิบเอาขนมขึ้นสวดขอพรถึงพระเจ้า. แล้วหักขนมแจกให้ศิษย์สิบเอ็ดคนกิน. ว่าท่านทั้งหลายจงรับเอากิน. ขนมนี้คือรูปกายแห่งเรา, ซึ่งประทานสำหรับแก่ท่าน. ท่านจงทำเช่นนี้เป็นที่ระลึกถึงเรา. เขาก็รับเอากิน. แล้วพระองค์ก็หยิบจอกน้ำองุ่น, โมทนาสรรเสริญพระคุณแล้ว, ก็ส่งให้แก่พวกศิษย์. ตรัสว่า, ท่านทั้งหลายจงรับเอากิน. นี่แลคือโลหิต, ที่เป็นตราข้อสัญญาใหม่, ซึ่งต้องให้ไหลออกแทนโทษมนุษย์เป็นอันมาก. พวกศิษย์ก็รับเอากินทุกคน, ทีละน้อย ๆ. ธรรมเนียมนั้นก็มีมาตลอดจนถึงทุกวันนี้.  พวกศิษย์พระเยซูก็ประชุมกันเนือง ๆ กินขนมสำคัญว่า, เป็นที่ระลึกถึงรูปกายพระเยซู ที่ตายแทนโทษมนุษย์.  แลกินน้ำองุ่นเล็กน้อย, พอเป็นที่ระลึกถึงโลหิตพระเยซูออกแทนโทษมนุษย์นั้น.  พวกศิษย์นั้นได้ทำอย่างนี้, จึงเกิดความรักใคร่ศรัทธาในพระเยซูมาก. การนี้ได้ชื่อว่า ยูคริสเตีย. แปลว่าโมทนาคุณ. พระเยซูเมื่อตั้งศีลยูคริสเตียแล้ว, จึงสั่งสอนเอาเนื้อเอาใจพวกศิษย์ว่า, ท่านทั้งหลายอย่าให้จิตใจเป็นทุกข์.  ท่านได้เชื่อถือในพระเจ้าแล้ว. จงเชื่อถือในเราด้วย. ในวังพระบิดาของเรามีที่อยู่เป็นอันมาก.  ถ้าไม่มีแล้ว, เราจะได้บอกให้ท่านรู้.  บัดนี้เราจะไปจัดแจงที่อยู่สำหรับท่าน.  ถ้าเราไปจัดแจงที่อยู่สำหรับท่านแล้ว, เราคงจะกลับมาอีก, รับท่านทั้งหลายให้ไปอยู่กับด้วยเรา, เพื่อเราจะอยู่ที่ไหนจะให้ท่านอยู่ที่นั่นด้วย.

แล้วพระองค์สั่งสอนพวกศิษย์ต่อไปอีก, เป็นหลายประการ. จึงว่าตั้งแต่นี้ไป, เราจะไม่พูดกับท่านทั้งหลายมาก, เพราะเจ้าแผ่นดินโลกนี้, คือศัตรูพระเจ้า, มาใกล้จะถึงอยู่แล้ว, แลไม่เห็นความชอบในเรา ๆ ท่านทั้งหลายจงลุกขึ้นไปจากที่นี่เถิด.  เขาจึงสวดโมทนาพระเจ้าเป็นคำเพลง. แล้วพระเยซูออกจากที่นั่น, ไปสู่ภูเขาเอลายโอน, ตามที่เคยไป. พวกศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย.  ในเพลานั้นเป็นกลางคืนวันพฤหัส. พระองค์จึงอุตส่าห์สั่งสอนเอาเนื้อเอาใจลูกศิษย์เป็นข้อความมากมาย.  แล้วพระองค์ก็เงยหน้าขึ้นบนอากาศนมัสการอ้อนวอนพระบิดา.  พวกศิษย์ได้ยินพระองค์กล่าวอ้อนวอนดั่งนั้นก็จำได้.  เมื่อพระเยซูสวดแล้ว, พระองค์ตรัสแก่ศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนว่า, ท่านทั้งหลายนี้จะต้องสะดุ้งตกใจเพราะเรา, ในคืนวันนี้, สิ้นทุกคน.  โดยมีหนังสือทำนายไว้ว่า, เราจะจับผู้เลี้ยงฝูงแกะฆ่าเสีย.  แลฝูงแกะนั้น, จะต้องกระจัดกระจายไป. แต่เมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว, เราจะล่วงหน้าท่านทั้งปวง, ไปสู่เมืองคาลิลาย. ส่วนเพชโรมาทูลว่า, ถ้าแม้คนอื่นทั้งปวงจะสะดุ้งกลัวเพราะท่าน, ฝ่ายข้าพเจ้านี้, ไม่สะดุ้งกลัวเพราะท่านเลย.  พระเยซูจึงตรัสกับเพชโรว่า, เราบอกแก่ท่านเป็นแท้ว่า, ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขันสองหน, ท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง, ว่าไม่รู้จัก. เพชโรจึงทูลว่า, ถึงข้าพเจ้าจะต้องตายกับด้วยท่าน, ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธพระองค์เลย,  พวกศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคน, ก็กล่าวคำสัญญาไว้กับพระเยซู, เหมือนคำเพชโรกล่าวไว้นั้น.

พระเยซูได้กล่าวคำทำนายนี้ไว้แล้ว, ก็พาพวกศิษย์ข้ามลำธารชื่อว่า เกดโรน, ไปถึงสวนชื่อว่า เคธเซมาเน. ฝ่ายยุดาอิศกาโรธรู้จักแห่งที่นั่น.  เพราะพระเยซูเคยพาพวกศิษย์ไปอยู่ที่นั่นเนือง ๆ พระเยซูจึงตรัสกับพวกศิษย์ว่า, ท่านจงนั่งลงอยู่ที่นี่ก่อน, เราจะไปสวดอ้อนวอนที่โน่น.   ว่าแล้วพระองค์พาเอาเพชโร แลยาโกโบ แลโยฮัน, ทั้งสามคนออกไปได้หน่อยหนึ่ง, ก็เป็นทุกข์เศร้าโศกพระทัย. จึงตรัสว่า, เราเป็นทุกข์ในวิญญาณนัก, แทบจะตาย. ท่านจงอยู่ที่นีแลเฝ้ากับเราเถิด.  พระองค์ก็ดำเนินไปหน่อยหนึ่ง, จึงกราบลงกับแผ่นดิน, ซบพระพักตร์ลง. แล้วก็สวดอ้อนวอนเป็นใจความว่า.  โอ้พระบิดาของข้าพเจ้า, ถ้าจะเป็นไปได้, จะขอให้จอกคือความทุกข์นี้, พ้นจากข้าพเจ้าไป. สิ่งอันใดที่พระองค์ทำไม่ได้นั้นไม่มีเลย.  แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ขอตามแต่น้ำใจของข้าพเจ้า, สุดแต่น้ำพระทัยของพระองค์เถิด. ขณะนั้นมีทูตสวรรค์องค์หนึ่ง, ลงมาช่วยอุดหนุนกำลังพระเยซู, ให้สู้ทนความทุกข์ทรมานได้  แล้วพระองค์ต้องทุกข์ในพระทัยใหญ่ยิ่ง.  จึงสวดอ้อนวอนยิ่งมากขึ้น, จนเหงื่อออกเป็นโลหิตเม็ดใหญ่ไหลลงที่แผ่นดิน.  แล้วพระองค์ลุกขึ้น, กลับมาถึงลูกศิษย์สามคนนั้น.  เห็นเขานอนหลับอยู่, เพราะเขาไม่สบายใจ.  พระองค์จึงถามพวกศิษย์ว่า, เหตุไฉนท่านมานอนหลับอยู่เล่า. เป็นอย่างไร, ท่านจะตื่นเฝ้ากับเราแต่สักชั่วทุ่มหนึ่ง, จะไม่ได้หรือ.  ท่านจงลุกขึ้นเฝ้าแลอ้อนวอนไปเถิด, เพื่อท่านจะไม่เข้าสู่ความล่อลวงได้.  จิตใจของท่านจะใคร่ตื่นเฝ้าอยู่ก็จริง, แต่กายนั้นอ่อนเป็นอ่อนเชื่อมอยู่แล้ว.  พระองค์ก็กลับไปอีก.  สวดอ้อนวอนว่า, โอ้พระบิดาเจ้าข้า, ถ้าแม้นว่าจอกนี้, ไม่ควรจะให้พ้นจากข้าพเจ้า, เว้นแต่ข้าพเจ้าดื่มกินแล้ว, ก็จงตามประสงค์เถิด.  แล้วพระองค์ก็กลับมาถึงพวกศิษย์อีก. เห็นเขาหลับอยู่.  พระองค์ก็กลับไปสวดอ้อนวอนเช่นนั้นอีก. แล้วกลับมาถึงพวกศิษย์. จึงตรัสถามพวกศิษย์ว่า. ท่านจะนอนหลับให้หายเหน็ดเหนื่อยอีกหรือ. อย่าเลย พออยู่แล้ว, เพลาชั่วทุ่มที่เป็นกำหนดมาถึงแล้ว.  ดูเถิดบุตรมนุษย์จะต้องที่เขาจะมอบไว้ในมือคนบาป.  จงลุกขึ้นเถิดเราท่านทั้งหลาย จำไป.  นี่แหละ ผู้ที่จะส่อเสียดเรานั้นมาจะใกล้อยู่แล้ว.


บทที่ ๓๑

ในขณะพระเยซูตรัสยังไม่ขาดคำ, พอ ยุดาอิศะกาโรธ พานายกองพวกทหาร, ฝูงคนเป็นอันมาก, มาแต่พวกปุโรหิตผู้ใหญ่, แลพวกฟาริซาย, แลพวกอาลักษณ์, ถือโคมแลคบ , กระบี่แลกระบอง, แลเครื่องศัสตราวุธ ต่าง ๆ. ฝ่ายยุดาได้บอกเป็นคำสำคัญนัดแก่เขาให้รู้ ว่า, เราจุบผู้ใดเข้า, ผู้นั้นแหละ คือเยซู. จงจับมัดให้มั่นคงเถิด. เมื่อพระเยซูเห็นพวกยุดามา, ก็ดำเนินออกมาหน่อยหนึ่ง. จึงทักถามว่าท่านทั้งปวงมาหาผู้ใด. เขาบอกว่า, เรามาหาเยซูช้าวบ้านนาซาเรด. พระเยซูจึงตอบแก่เขาว่า, ตัวเรานี้คือคนนั้น. ครั้นเขาได้ยินดั่งนั้น, ก็ถอยหลังล้มลงสิ้น. พระเยซูจึงถามอีกว่า, ท่านมาหาผู้ใด.  เขาบอกว่า, เรามาหาเยซูชาวบ้านนาซาเรด.  พระเยซูจึงตอบว่า, เราบอกแล้วสิว่า, เราคือผู้นั้น.  ถ้ามาหาเรา, ก็ให้ปล่อยคนเหล่านี้เสียเถิด.  พระองค์ตรัสดั่งนั้น, เพราะจะยังถ้อยคำที่ได้สัญญาไว้แต่ก่อนให้สำเร็จ.  ว่าคนบรรดาที่พระเจ้าให้ไว้แก่เรา ๆ ไม่ให้คนผู้ใดผู้หนึ่งต้องถึงความฉิบหายเลย.  ขณะนั้นยุดาอิศกาโรธ, ก็เข้ามาชิดพระองค์, แล้วกล่าวว่า, ความสวัสดิมงคลจำเริญจงมีแก่ท่านผู้เป็นอาจารย์. ว่าแล้วยุดาก็จุบพระเยซูเข้า.  พระเยซูจึงตรัสว่า, มิตรสหายเอ๋ย, ท่านมาด้วยธุระประการใด.  ท่านจะมามอบบุตรมนุษย์ให้เขาด้วยจุบเป็นสำคัญหรือ.  พอพระเยซูตรัสเท่านั้น, ฝูงคนที่ยุดาพามานั้น, ก็ยื่นมือเข้ามาจับพระองค์ไว้.  ครั้นพวกศิษย์ที่อยู่กับพระองค์เห็นดั่งนั้น, จึงถามพระองค์ว่า, พระองค์เจ้าข้า, ท่านจะให้ข้าพเจ้าเอากระบี่ฟันเขาหรือไม่.  พระองค์ไม่ทันตอบ, เพชโรก็ถอดกระบี่ออกฟัน, ถูกหูคนใช้ของปุโรหิตผู้ใหญ่, ใบหูข้างขวาขาดออกไป. พระเยซูเห็นดั่งนั้นจึงว่า, เหตุควรแต่เพียงนี้.  พระองค์จึงต้องเข้าที่หูคนหูขาดนั้น, หูนั้นก็ติดสนิทดี.  แล้วพระเยซูจึงตรัสกับเพชโรว่า, ท่านจงเอากระบี่ใส่เสียในที่สำหรับไว้นั้นเถิด, เพราะบรรดาคนที่พึ่งกระบี่ ก็จะเสียเพราะกระบี่.  ท่านคิดว่า, เรานี้อ้อนวอนพระบิดาให้ทูตสวรรค์สิบสองกอง, มาช่วยเราในบัดนี้จะไม่ได้หรือ.  ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว, คำพระเจ้าทำนายไว้นั้น, ทำไฉนจะสำเร็จเล่า.  ก็จำเป็นเหตุดั่งนี้. อันจอกที่พระบิดาตั้งไว้ให้เราดื่มกิน, เราจะไม่ดื่มหรือ.  ในขณะนั้นพระเยซูจึงถามพวกปุโรหิต, แลพวกผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวง, ที่พากันมาจับนั้นว่า, ท่านทั้งหลายถือกระบี่กระบองมา, จะจับเราเหมือนโจรหรือ.  เราเคยนั่งสั่งสอนที่ท่ามกลางท่าน, ในวิหารทุกวัน ๆ ท่านไม่ได้เอามือมาจับต้องเรา.  บัดนี้ถึงกาลกำหนดสำหรับท่าน, แลสำหรับพลมืดมน. เหตุนี้ก็เกิดขึ้น, เพื่อจะให้คำผู้ทำนายที่จารึกไว้นั้นให้สำเร็จ.  ในขณะนั้นพวกศิษย์ก็หนีไปสิ้น.

ฝ่ายพวกผู้มาจับนั้น, ก็เข้ามัดผูกพระเยซู. แล้วพาไปถึงที่อยู่อันนาศ, ผู้เป็นปุโรหิตใหญ่เก่า.  อันนาศนั้นเป็นพ่อตา กายะฟา, ผู้เป็นปุโรหิตใหม่.  แลอันนาศก็ให้พาพระเยซูไปถึงจวนกายะฟา. พวกปุโรหิตทั้งปวง, แลผู้เฒ่าผู้แก่, แลพวกอาลักษณ์, เขาประชุมพร้อมกันอยู่ที่นั่น. ขณะนั้นเพชโรตามพระเยซูไปเบื้องหลังห่าง ๆ จนถึงจวนปุโรหิตใหญ่.  ฝ่ายโยฮันผู้เป็นศิษย์ก็มาถึงที่นั่นด้วย. โยฮันกับปุโรหิตใหญ่นั้นรู้จักกัน  โยฮันจึงอาจติดตามพระเยซูเข้าไปในจวนปุโรหิตได้.  แต่เพชโรนั้นยืนแอบประตูอยู่, ไม่อาจเข้าไปได้.  โยฮันจึงไปว่ากับหญิงผู้เฝ้าประตูว่า, ให้เพชโรเข้าไปด้วย. โยฮันก็พาเพชโรเข้าไป.  ครั้งนั้นเป็นฤดูหนาว. เขาก็ก่อไฟในท่ามกลางห้องใหญ่นั่งผิงไฟอยู่. เพชโรก็นั่งลงผิงไฟอยู่ด้วยเขา, เพราะจะใคร่ดูเหตุจนที่สุด.

ครั้งนั้นปุโรหิตใหญ่. จึงซักถามพระเยซู, ถึงพวกศิษย์แลคำสั่งสอนแห่งพระองค์. พระเยซูตอบว่า, เราก็ได้สั่งสอนไม่เป็นความลับ. เราได้สั่งสอนในโรงธรรม, แลในวิหาร, ที่พวกยูดายเคยเข้าไป.  เราไม่ได้สั่งสอนในที่ลับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย. เหตุไฉนท่านมาซักถามเราเล่า. ท่านจงซักถามที่เขาเคยได้ยินได้ฟังคำซึ่งเราสั่งสอนเขาดูเถิด.  เราสั่งสอนเขาอย่างไร, เขารู้อยู่สิ้นแล้ว.  ฝ่ายคนใช้ของปุโรหิตคนหนึ่ง, ได้ยินพระเยซูตอบดั่งนั้น, ก็โกรธเข้าตบเอาพระเยซู.  แล้วกล่าวว่า, ตัวตอบกับปุโรหิตใหญ่อย่างนี้หรือ.  พระเยซูตอบกับเขาว่า, ถ้าเราพูดชั่วท่านจงเป็นพยานถึงที่ชั่วนั้นเถิด. ถ้าเราพูดถูกแล้ว, เจ้ามาตบเอาเราทำไมเล่า.

ฝ่ายพวกคนที่ประชุมกันอยู่นั้น, ให้หาคนโจทเท็จ, มายืนยันเอาพระเยซู, จะให้มีโทษถึงตาย.  เขาก็หาไม่ได้. โจทเท็จหลายคนมายืนยันเอาพระเยซูก็จริง,  แต่คำโจทเหล่านั้นไม่ถูกต้องกัน. ภายหลังมีโจทอีกสองคน, มาฟ้องยืนยันเอาพระเยซูว่า, คนนี้ได้อวดว่า, เรามีฤทธิจะทำลายวิหารของพระเจ้าเสีย, แล้วในสามวันจะสร้างขึ้นใหม่ให้แล้วได้.  ฝ่ายปุโรหิตจึงลุกขึ้นในที่ท่ามกลางประชุม, แล้วถามพระองค์ว่า, ท่านไม่ตอบแก้ตัวหรือ. พวกนี้เขาฟ้องตัวว่ากระไร.  ฝ่ายพระเยซูก็นิ่งเสีย, ไม่ตอบประการใด.  ปุโรหิตจึงซักถามพระองค์อีกว่า, ตัวเป็นคริสต์บุตรของพระเจ้าผู้ทรงบรมสุขหรือ.  เราจะให้ตัวสบถออกชื่อพระเจ้าผู้ทรงชีวิตอยู่, เพื่อจะให้ตัวบอกแก่เรานี้ว่า, ตัวเป็นพระคริสต์บุตรพระเจ้าจริงหรือไม่.  พระเยซูจึงตอบกับปุโรหิตว่า, เราเป็นเช่นว่านั้นแหละ.  เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า, ในภายภาคหน้า, ท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาแห่งฤทธานุภาพของพระเจ้า.  แลจะได้เห็นเราลงมาในกลางเมฆฟ้า.  ฝ่ายปุโรหิตใหญ่ได้ฟังดั่งนั้น, ก็ฉีกเสื้อผ้าของตัว, แล้วร้องว่า, ไอ้คนนี้พูดคำหยาบช้าต่อพระเจ้าแล้ว.  เราจะต้องการอะไรเล่าด้วยผู้โจท.  เราท่านทั้งหลายได้ยินคำหยาบช้า มันเอง. จงดูเถิด. ท่านจะเห็นเป็นประการใดบ้าง.  คนทั้งปวงจึงตอบว่า, มันเป็นโทษถึงตายจริง, ฝ่ายคนที่ยึดตัวพระเยซูไว้นั้น, ก็ล้อเลียนแลตบตีเอาพระองค์. บางคนมาถ่มน้ำลายรดถูกหน้าผากพระองค์.  บางคนมาปิดหน้าตาพระองค์, ต่อยเข้า. แล้วถามว่า, ตัวผู้เป็นพระคริสต์แล้ว, จงทายไปเถิด, ว่าใครมาต่อยเอา.  ส่วนพวกบ่าวไพร่ก็เอามือมาตบพระองค์ด้วย. แล้วเขาทำหยาบช้าแก่พระองค์ต่าง ๆ.


บทที่ ๓๒

ฝ่ายเพชโรยังนั่งอยู่ในจวนนั้น. มีสาวใช้คนหนึ่ง, เป็นของปุโรหิต, สำหรับเฝ้าประตูจวน. เข้ามาเห็นเพชโรนั่งผิงไฟอยู่, แล้วก็เพ่งพิศดูเพชโร จึงว่า, เจ้านี้ก็ได้อยู่กับเยซู ชาว คาลิลาย. ฝ่ายเพชโรก็ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งหลายนั้น, ว่า เจ้านี้ว่าอย่างไร, ข้าก็ไม่รู้. พวกบ่าวไพร่แลผู้ใช้ใหญ่ยืนผิงไฟอยู่, เพชโรก็ยืนผิงไฟอยู่ด้วย. เขาจึงถามเพชโรว่า, เจ้านี้เป็นลูกศิษย์เยซูมิใช่หรือ. เพชโรก็ปฏิเสธว่าเปล่า, ข้าไม่ได้เป็นศิษย์ดอก. มีคนใช้ของปุโรหิตใหญ่คนหนึ่ง, เป็นพี่น้องของคนที่เพชโรฟันใบหูขาดออกนั้น, เข้ามาถามเพชโรว่า, เรานี้ไม่ได้เห็นเจ้าอยู่กับเยซูในสวนนั้นหรือ. เพชโรจึงปฏิเสธพระองค์อีก. เพชโรปฏิเสธเมื่อนั่งอยู่นั้น, เป็นคราวปฏิเสธที่หนึ่ง. แล้วเพชโรออกจากจวนไปสู่เฉลัยงข้างนอก. ขณะนั้นไก่ก็ขันขึ้นเป็นเพลาประมาณเที่ยงคืน. เพชโรอยู่นั้นหน่อยหนึ่ง, มีสาวใช้อื่นมาเห็นเพชโรเข้า. ก็บอกกับคนทั้งปวงว่า, ไอ้คนนี้ก็ได้เป็นพวกเยซูชาวนาซาเรด. เพชโรก็ปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง. แลสาบานตัวว่า, คนนั้นข้าไม่รู้จัก. ปฏิเสธนี้เป็นคราวที่สอง. อยู่มาประมาณสักทุ่มหนึ่ง[10], คนผู้ยืนอยู่ที่นั่น, จึงว่ากับเพชโรว่า, เจ้านี้อยู่ในพวกเยซูเป็นแท้แล้ว, เพราะถ้อยคำของเจ้าส่อตัวอยู่.  ขณะนั้นเพชโรก็แช่งชักสาบานตัวปฏิเสธว่า, ข้าไม่รู้จักคนนั้นเลย. ปฏิเสธนี้เป็นคราวที่สาม.  ขณะนั้นไก่ก็ขันขึ้นเป็นสองหน,  สมกับคำพระเยซูทำนายไว้ แก่เพชโรแต่ก่อน.  ขณะนั้นพระเยซูผินหน้ามาเพ่งดูเพชโร.  ฝ่ายเพชโรเห็นดั่งนั้น, ก็ระลึกได้ถึงคำที่พระเยซูว่าไว้นั้น.  แล้วเพชโรรำพึงถึงคำที่ตัวปฏิเสธพระองค์, แล้วเดินออกไป, น้ำตาไหลร้องไห้เป็นทุกข์นัก.

ครั้นรุ่งขึ้นเช้า, เป็นวันศุกร์, พวกปุโรหิต, แลพวกอาลักษณ์แลพวกผู้เฒ่าผู้แก่, ประชุมพร้อมปรึกษากัน, ด้วยปรารถนาจะประหารพระเยซูเสีย.  เขาจึงให้ผู้คุมเอาตัวพระเยซูมานั่งในที่ประชุม. ปุโรหิตจึงถามพระเยซูว่า, ตัวจงบอกให้เราทั้งหลายรู้ว่า, ตัวนี้เป็นพระคริสต์หรือ.  พระเยซูจึงว่า, ถ้าเราจะบอกให้ท่านรู้, ท่านก็จะไม่เชื่อถือ.  ถ้าเราจะขอให้ปล่อย, ท่านก็จะไม่ปล่อย ต่อภายหน้าบุตรมนุษย์, จะนั่งที่เบื้องขวาซึ่งเดชานุภาพแห่งพระเจ้า.  คนทั้งปวงจึงถามพระเยซูว่า, กระนั้นตัวเป็นบุตรพระเจ้าหรือ.  พระเยซูจึงตอบว่า, เป็นเช่นท่านทั้งหลายว่า.  เขาได้ยินพระเยซูตอบดั่งนั้น, เขาจึงว่า, เราจะต้องการอะไรด้วยคนโจทอีกเล่า, เพราะเราได้ยินคำออกจากปากเขาเองแล้ว.

ขณะนั้นยุดาอิศกาโรธ, ผู้มอบชี้พระเยซูนั้น, เมื่อได้เห็นพระองค์ต้องโทษก็รู้สึกตัว เป็นทุกข์.  จึงเอาเงินสามสิบแผ่นที่เป็นสินบนนั้น, กลับมาคืนให้ปุโรหิตผู้ใหญ่, แลผู้เฒ่าผู้แก่เสีย, แล้วจึงว่าข้าได้ผิดแล้ว, ด้วยข้าได้เอาเนื้อเลือดซึ่งไม่มีผิดมามอบให้.  เขาจึงตอบว่า, การนั้นเป็นธุระอะไรของเราเล่า.  การนั้นท่านจงดูแลเองเถิด. ฝ่ายยุดาก็ทิ้งเงินนั้น ไว้ในวิหาร.  แล้วก็ออกไปผูกคอตายเสีย. ฝ่ายพวกปุโรหิตก็เก็บเงินสามสิบแผ่นนั้น, จึงปรึกษากันว่า, จะเอาเงินนี้, มาไว้เป็นคลังไม่ชอบ, เพราะเป็นเงินราคาเนื้อเลือด.  ครั้นเขาปรึกษากันแล้ว, เขาจึงเอาเงินนั้นมาซื้อที่ดินแห่งช่างหม้อ, เอาไว้สำหรับฝังศพคนมาแต่ต่างประเทศ.  เหตุนั้นก็สมกับคำ ยีระมาย ผู้ทำนายได้ทายไว้ว่า, เขาจะได้เอาเงินสามสิบแผ่น, ที่เป็นราคาแห่งผู้ต้องขาย, ที่ชาวอิศระเอลตีราคาไว้, เอาเงินนั้นไปซื้อที่ดินแห่งช่างหม้อ, ตามที่พระเจ้าตั้งพระทัยไว้.


บทที่ ๓๓

ฝ่ายฝูงคนทั้งปวง ก็คุมพระเยซูออกจากจวนกายะฟา พาไปถึงจวนพญา พิลาโธ, ผู้เป็นเจ้าเมืองยรูซาเลม. เป็นเพลารุ่งเช้าวันศุกร์. เขาก็ให้ผู้คุม ๆ ตัวพระเยซูเข้าไปในศาลากลาง ของพิลาโธ, แต่พวกปุโรหิตไม่เข้าไป. ถือว่าจะติดบาป. ฝ่ายพิลาโธจึงออกมาถามพวกปุโรหิตว่า, ท่านทั้งหลายฟ้องกล่าวโทษผู้นี้อย่างไรหรือ. พวกปุโรหิตจึงบอกว่า, ถ้าแม้นไม่เป็นคนผิดแล้ว, เราก็ไม่พามามอบไว้กับท่านเลย. ฝ่ายพิลาโธจึงสั่งว่า, ท่านจงเอาตัวมัน[8]ไปชำระตัดสิน, ตามกฎหมายของท่านเถิด. เขาตอบว่า, ไม่ควรที่พวกเราจะปรับโทษให้คนถึงตาย.  แล้วเขาจึงฟ้องพระเยซูว่า, ไอ้คนนี้มันทำให้พลไพร่ในเมืองนี้เกิดจลาจลต่าง ๆ แลไปห้ามค่าส่วย, ไม่ให้เขาส่งแก่กายซาผู้เป็นกษัตริย์.  แล้วก็อวดตัวว่าเป็นพระคริสต์ แลเป็นกษัตริย์. ฝ่ายพิลาโธก็เข้าไปศาลากลาง,  เรียกพระเยซูเข้ามา. พระเยซูก็มายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าเมือง ๆ จึงซักถามว่า, ท่านเป็นกษัตริย์แห่งพวกยูดายหรือ.  พระเยซูจึงตอบว่า, ท่านถามเองหรือ, ผู้ใดให้ถาม.  เจ้าเมืองจึงตอบว่า, เราเป็นพวกยูดายเมื่อไรเล่า. พวกชาวเมืองของท่านเอง, เขาได้มอบตัวท่านให้แก่เราไว้. ท่านได้ทำผิดประการใด. พระเยซูจึงตอบว่า, อันเมืองของเราไม่จำเพาะแต่โลกนี้.  ถ้าจำเพาะแต่โลกนี้แล้ว, คนใช้ของเราก็จะต่อสู้, ไม่ให้คนทั้งปวงจับตัวเราได้. บัดนี้เมืองของเราไม่ตั้งจำเพาะโลกนี้.  ฝ่ายพิลาโธจึงซักอีกว่า, กระนั้นท่านเป็นกษัตริย์จริงหรือ.  พระเยซูจึงตอบว่า, ที่ท่านว่าเราเป็นกษัตริย์, เราก็เป็นดั่งนั้น.  เราเกิดเป็นมนุษย์แลมาสู่โลกนี้, ด้วยจะเป็นพยานแก่ความสัตย์ซื่อ.  บรรดาคนที่เป็นพวกสัตย์ซื่อ, ได้ยินเสียงเราพูด. พิลาโธจึงถามว่า, อันความสัตย์ซื่อนั้นเป็นอะไรเล่า.  พระเยซูมิทันจะตอบ.  พญาพิลาโธก็ลุกเดินออกมาหาพวกยูดายข้างนอก.  จึงบอกแก่พวกปุโรหิต แลฝูงคนทั้งปวงว่า, เราไม่ได้เห็นความผิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเยซูเลย.

ฝ่ายพวกปุโรหิต, ก็แกล้งพาโลกล่าวโทษพระเยซูต่าง ๆ แต่พระองค์ไม่ตอบประการใดเลย.  พิลาโธจึงถามพระองค์ว่า.  เขากล่าวโทษตัวมากเท่าไร, ท่านไม่ได้ยินหรือ. แต่พระองค์มิได้ตอบสักคำหนึ่ง.  พิลาโธจึงถามอีกว่า, ท่านไม่ตอบเลยหรือ.  เขาเป็นพยานกล่าวโทษแก่ท่านประการเท่าใด, ท่านจงดูเถิด.  ฝ่ายพระเยซูไม่ตอบประการใด. เจ้าเมืองก็ประหลาดใจนัก.

ขณะนั้นพวกปุโรหิต, แลผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวง, ก็มีความโกรธกำเริบขึ้น. จึงชวนกันกล่าวโทษซ้ำอีกว่า, มันนี่แหละเที่ยวไปเสี้ยมสอนแก่ไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง, ตั้งแต่เมืองคาลิลายเป็นต้น, ตลอดมาจนถึงเมืองนี้.  ครั้นพญาพิลาโธได้ยินออกชื่อเมืองคาลิลาย, จึงถามเขาว่า, คนนี้เป็นชาวเมืองคาลิลายหรือ. เขาบอกให้พิลาโธรู้ว่า, พระเยซูอยู่ในเมืองที่พญาเฮโรดครอบครอง, คือเมืองคาลิลาย. พิลาโธได้ทราบดั่งนั้น.  จึงสั่งให้คนคุมเอาตัวพระเยซูไปหาเฮโรด.  ครั้งนั้นเฮโรดมาพักอยู่ในเมืองยรูซาเลม. เมื่อเฮโรดเห็นพระเยซูเข้ามาครั้งนั้น, ก็ชื่นชมยินดีนัก, ด้วยปรารถนาจะพบเห็นพระเยซู. เพราะได้ยินข่าวเขาเล่าลือเหตุต่าง ๆ ถึงพระองค์.  เฮโรดหมายใจว่า, จะได้เห็นพระองค์กระทำการอัศจรรย์บ้าง, พญาเฮโรดก็ซักถามพระเยซู, เป็นข้อความหลายประการ.  พระองค์ไม่ตอบประการใดเลย.  ฝ่ายพวกปุโรหิตแลพวกอาลักษณ์, ก็ยืนขึ้นกล่าวโทษพระเยซู ด้วยใจเดือดร้อนนัก.  ฝ่ายเฮโรดกับทั้งพวกทหาร, ก็ดูหมิ่นพระเยซู แลล้อเลียน. แล้วก็เอาเสื้อสีขาวเลื่อมเป็นเงามาแกล้งให้พระเยซูใส่.  แล้วก็ให้คุมพระเยซูกลับไปหาพิลาโธอีก.  แต่ก่อนนั้นพิลาโธกับเฮโรด, เป็นคนไม่สู้ชอบกัน. ในวันนั้นกลับเป็นมิตรไมตรีกัน.

พิลาโธเห็นพระเยซูเข้ามา, ก็ให้หาพวกปุโรหิต แลพวกขุนนางแห่งราษฎรมาประชุมกัน. แล้วจึงถามแก่คนทั้งปวงว่า, ท่านนำคนนี้มาหาเราเหมือนคนเป็นโทษกบฏ.  นี่แล เราก็ได้ซักไซ้ไล่เลียงเขาต่อหน้าท่านทั้งหลายแล้ว, ไม่เห็นเขามีข้อผิดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง, ในที่ท่านกล่าวโทษนั้นเลย. ถึงพญาเฮโรดก็ดี, เราก็ได้ให้นำไปหาแล้ว, พญาเฮโรดนั้นก็ไม่เห็นเขามีข้อผิดเป็นโทษถึงตายเลย.  เหตุฉะนี้เรา จะเอาตัวเยซูนี้เฆี่ยนเสียแล้วปล่อยไป.


บทที่ ๓๔

ครั้งนั้นพอถึงขวบปี, ที่คนทั้งปวงเขาเคยเลี้ยงโต๊ะกัน, เป็นการศีลพาซะฆา. เจ้าเมืองต้องปล่อยคนโทษคนหนึ่ง, ตามใจราษฎรจะสมัครให้ปล่อยทุกปี ๆ, เพราะเจ้าเมืองจะเอาเนื้อเอาใจไพร่พลเมืองทั้งปวง. ขณะนั้นมีคนโทษคนหนึ่ง, ชื่อเสียงเขาลือนัก, ชื่อ วาบาราบา. ต้องจำอยู่กับด้วยพวกคนเป็นขบถ, เป็นโทษฆ่าคนตายในการกบฏนั้น. ฝูงคนทั้งปวงจึงร้องขึ้นอื้ออึงวิงวอนพิลาโธ, เพื่อจะให้กระทำเหมือนเคยทำมาแต่ก่อน. พิลาโธจึงว่า, ธรรมเนียมเราต้องปล่อยคนโทษคนหนึ่ง, ในคราวพาซะฆานี้. คนสองคนคือ บาราบา, แลเยซู ที่เขาเรียกว่าพระคริสต์นี้, ท่านทั้งหลายจะให้เราปล่อยผู้ใด. จะให้เราปล่อยกษัตริย์แห่งยูดายหรือ. พิลาโธถามดังนี้, เพราะรู้อยู่ว่า, พวกปุโรหิตได้มอบตัวพระเยซูไว้ ด้วยกำลังอิจฉาริษยา.  พวกปุโรหิตแลผู้เฒ่าผู้แก่, จึงร้องขึ้นพร้อมกันว่า เอาคนนี้ไปทำโทษเสีย.  ให้ปล่อยบาราบาเสียเถิด.

เมื่อพิลาโธไปนั่งอยู่ที่พิพากษานั้น, ภรรยาท่านจึงให้คนไปบอกกับพิลาโธว่า, ท่านอย่าทำอะไรแก่ผู้ชอบธรรมนั้นเลย, ด้วยว่าคืนนี้ในความฝัน, ข้าได้ต้องลำบากนัก เพราะเยซู.  คำพิลาโธตอบกับคนใช้ประการใดไม่ปรากฏ.

ฝ่ายพวกปุโลหิต, แลพวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็ให้เนื้อให้ใจฝูงคนทั้งปวง ให้ขอให้ปล่อยบาราบา.  ให้ประหารเยซูเสีย.  ฝ่ายพิลาโธในใจจะใคร่ปล่อยพระเยซู.  จึงถามซ้ำอีกว่า, สองคนนี้ท่านจะให้เราปล่อยผู้ใด.  ฝ่ายคนทั้งปวงก็ร้องขึ้นดังพร้อมกันว่า, อย่าปล่อยคนนี้เลย.  จงปล่อยบาราบาเถิด.  พิลาโธจึงตอบว่า, ถ้ากระนั้นจะให้เราทำประการใดแก่พระเยซู, ที่เขาเรียกว่าพระคริสต์ แลเป็นเจ้าเมืองยูดายนั้นเล่า.  เขาจึงร้องขึ้นอีกว่า, จงตรึงมันไว้ที่กางเขนเถิด. ตรึงมันไว้ที่กางเขนเถิด.  พิลาโธจึงถามอีกเป็นคำรบสามว่า, ทำไม, เขาผิดอย่างไร.  เราพิจารณาไม่เห็นมีข้อผิดถึงตายในตัวเขาเลย.  เหตุฉะนี้เราจะให้เฆี่ยนเขา, แล้วปล่อยเสีย. ฝูงคนก็ร้องดังหนักยิ่งขึ้นไปอีกว่า, จงตรึงมันไว้ที่กางเขนเถิด.

ครั้นพิลาโธเห็นว่า, ตัวว่ากล่าวเท่าไรไม่ได้การ, ยิ่งเกิดกุลีวุ่นวายขึ้น,  พิลาโธจึงเอาน้ำ มาล้างมือต่อหน้าฝูงคนทั้งหลาย.  แล้วกล่าวว่า, ตัวเราหมดจดปราศจากเลือดผู้ชอบธรรมนี้, ท่านทั้งหลายจงเห็นเถิด.  ฝูงคนทั้งปวงรับคำว่า, ให้เลือดคนนี้มาตกบนเรา, แลบนลูกหลานเราเถิด.  ฝ่ายพิลาโธมีน้ำใจจะเอาเนื้อเอาใจฝูงราษฎร.  จึงสั่งให้ปล่อยบาราบา, ตามใจคนทั้งปวง.  พิลาโธจึงสั่งให้เอาตัวพระเยซูไปเฆี่ยน.  แล้วก็มอบให้เขาตามน้ำใจคนทั้งปวง.  ฝ่ายพวกทหารของพลาโธ, ก็คุมเอาตัวพระเยซูออกไปจากตรงหน้าพิลาโธ, ไปสู่ห้องที่เรียกว่า, พริโตเรียม.  แล้วเขาก็ประชุมบรรดากองทหารพร้อมกัน. เขาจึงเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออกเสีย, แล้วเอาเสื้อผ้าแดงมาให้พระองค์ใส่. แล้วเขาเอาหนามทำมงกุฎใส่ศรีษะพระองค์.  แล้วเอาไม้อ้อมาใส่พระหัตถ์ข้างขวาให้พระองค์ถือไว้.  เขาจึงคุกเข่าลงเป็นที่เยาะเย้ยพระองค์.  แล้วทำมือไหว้แล้วว่า, สวัสดิจำเริญจงมีแก่กษัตริย์แห่งพวกยูดาย.  เขาจึงถ่มน้ำลายรดถูกพระองค์.  แล้วเขาชิงเอาไม้อ้อนั้นมาตีศรีษะพระองค์ลง.

พิลาโธเห็นดั่งนั้น, จึงออกไปอีก.  แล้วว่าแก่คนทั้งปวงว่า, จงงดเถิด เราได้ส่งตัวเยซูให้แก่ท่าน ๆ ทั้งหลายจงรู้เถิด. ว่าเราไม่ได้เห็นข้อผิดในเยซูสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย. ขณะนั้นเขาก็คุมตัวพระเยซูอันใส่มงกุฎหนาม แลใส่เสื้อครุยสีแดงเข้ามา.  พิลาโธจึงว่า, ท่านทั้งหลายจงแลดูคนนี้เถิด.  ฝ่ายพวกปุโรหิตแลนายกอง, เมื่อเห็นพระองค์เข้ามา, ก็ร้องขึ้นว่า, จงตรึงมันไว้ที่ไม้กางเขนเถิด. ฝ่ายพิลาโธจึงว่า, ท่านทั้งหลายจงเอาตัวเยซูไปตรึงเองเถิด.  เราไม่บังคับ. เพราะเราไม่เห็นความผิดเยซูสักนิดหนึ่ง. พวกยูดายจึงตอบว่า, กฎหมายเรามีอยู่, ในกฎหมายนั้นว่า, ผู้นี้ควรจะปรับโทษถึงตาย, เพราะผู้นี้ตั้งตัวเองว่า เป็นบุตรพระเจ้า.  เมื่อพิลาโธได้ฟังดั่งนั้น, ก็ยิ่งกลัวมากขึ้น. แล้วก็กลับไปสู่ที่ห้องพิพากษา.  แล้วถามพระเยซูอีกว่า, ท่านเกิดมาแต่ไหน.  พระเยซูไม่ตอบประการใด. พิลาโธจึงว่า, ท่านไม่พูดกับเราหรือ.  ท่านไม่รู้หรือว่า, เรามีอำนาจอาจตรึงท่านที่กางเขน, แลจะปล่อยท่านเสียก็ได้ พระเยซูจึงว่า, ท่านไม่มีอำนาจ, จะทำเช่นนั้นต่อเราได้, เว้นไว้แต่อำนาจประทานมาจากเบื้องบนให้แก่ท่านนั้นแล, จึงอาจจะทำได้. เหตุฉะนี้ ผู้ที่นำเราให้แก่ท่าน เขามีโทษมากกว่าท่าน.  ตั้งแต่เพลานั้นมา พิลาโธขวนขวายหาเหตุจะให้พระเยซูพ้นโทษ. แต่พวกยูดายร้องขึ้นว่า, ถ้าท่านยอมให้คนนี้พ้นโทษแล้ว, ท่านไม่เป็นมิตรไมตรีกับกายซามหากษัตริย์แล้ว. เพราะว่า, ผู้ใดตั้งตัวเองเป็นมหากษัตริย์แล้ว ถ้อยคำผู้นั้นต่อสู้กับกายซา.  เมื่อพิลาโธได้ฟังดั่งนั้น, ก็พาพระเยซูออกมายืนอยู่ตรงหน้าที่พิพากษา.  พิลาโธก็นั่งลงบนที่พิพากษา. เป็นเพลาเช้าประมาณสามโมง. พิลาโธจึงว่า กับพวกยูดายทั้งปวงว่า, ท่านทั้งหลายจงแลดูกษัตริย์ของท่านเถิด.  ฝ่ายพวกยูดายก็ร้องว่า, เอามันไปเสีย.  เอามันไปเสีย, ตรึงที่ไม้กางเขนเถิด.  พิลาโธจึงถามว่า, จะให้เราเอากษัตริย์ของท่าน, ไปตรึงที่กางเขนเสียหรือ.  พวกปุโรหิตทั้งปวงจึงตอบว่า, พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากกายซาแล้ว.  ฝ่ายพิลาโธก็ส่งตัวพระเยซู, ไปให้เขาตรึงที่ไม้กางเขน.


บทที่ ๓๕

ฝ่ายพวกยูดายก็พาเอาตัวพระเยซูออกไป. ครั้นเขาชวนกันเยาะเย้ยล้อเลียนพระองค์แล้ว, เขาก็ถอดเสื้อสีแดงนั้นออกเสีย. จึงเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาใส่เข้า. แล้วพาพระองค์ออกไป, จะตรึงกางเขนไว้. เขาให้พระเยซูแบกไม้กางเขนไปเอง. เมื่อเดินไปตามทางนั้น, ก็พบคนผู้หนึ่งชื่อซิโมน, เป็นชาวเมืองกุเรเน. เขาก็ช่วยขืนคนนั้น, ให้ช่วยแบกไม้กางเขนของพระองค์ไป. ขณะนั้นมีฝูงคนมากมายติดตามมา, ร้องไห้รักพระองค์. พระเยซูจึงเหลียวพระพักตร์, มาแลดูพวกนั้น. แล้วตรัสว่า, ท่านผู้หญิงชาวเมืองยรูซาเลมเอ๋ย อย่าร้องไห้ถึงเรา.  จงร้องไห้ถึงตัวเอง, แลลูกหลานของตัว, เพราะกาลจะมาในภายหน้า.  ในคราวนั้นคนทั้งปวงจะว่า,หญิงที่เป็นหมันท้องมิได้คลอดลูก, แลนมที่ลูกมิได้ดูด, หญิงพวกนั้นมีความสุขมาก.  ในคราวนั้นคนทั้งปวงจะร้องอ้อนวอนว่า, ขอให้ภูเขาใหญ่มาทับเรา, แลให้ภูเขาน้อย ๆ มาปิดบังเรา.

แจ้งว่า, ความที่พระเยซูว่า, กับหญิงนั้นเป็นคำทำนายว่า, ไปภายหน้านั้น, จะเกิดภัยอันตรายในเมืองยูดายมากมายนัก. เมืองนั้นจะฉิบหายไป.  ฝูงคนทั้งปวงจะมีความทุกข์มาก. แต่หญิงที่ไม่มีลูกจะค่อยยังชั่วหน่อยหนึ่ง.

ยังมีคนโทษสองคนเป็นโจร, เขาพาไปพร้อมกันกับพระเยซู, เพื่อจะฆ่าเสีย.  เมื่อเขาพาไปถึงที่ชื่อคลโคธา, แลว่า กระดูกศรีษะ, ที่นั่นเขาให้พระองค์กินน้ำองุ่นเปรี้ยว ระคนด้วยยาขม, พระองค์ชิมดูแล้วก็ไม่กิน. แล้วพวกทหารก็เอาตัวพระเยซู, ขึ้นตรึงไว้ที่ไม้กางเขน. แล้วเอาคนโทษอีกสองคน, ขึ้นตรึงไว้เบื้องขวาคนหนึ่ง ๆ ไว้เบื้องซ้ายพระองค์. คนสามคนต้องตรึงอยู่พร้อมกันคนละกางเขน.  พระเยซูอยู่ท่ามกลาง.  เป็นดั่งนั้นแหละ จึงสมกับคำทำนายซึ่งกล่าวไว้แต่ก่อนว่า, เขาจะนับท่านกับด้วยคนโทษ.

ฝ่ายพิลาโธจึงให้เขียนหนังสือ ชื่อ, แลยศศักดิ์พระเยซู ไว้ที่ไม้กางเขน,  ที่เบื้องบนตรงศรีษะพระองค์. ว่าผู้นี้คือเยซูชาวนาซาเรด เป็นกษัตริย์แห่งพวกชาวยูดาย. หนังสือนั้นเป็นสามภาษา. คือ ภาษาเฮบรี ๑ เฮลีน ๑ โรม ๑.  พวกยูดายแลดูอ่านหนังสือนั้นเป็นหลายคน.  ฝ่ายพวกปุโรหิตครั้นอ่านดูแล้ว, ก็เสียใจ.  จึงอ้อนวอนพิลาโธว่า, อย่าเขียนว่า, ผู้นี้เป็นกษัตริย์แห่งพวกยูดายเลย. จงจารึกว่า, ผู้นี้อวดตัวว่า, ตัวเป็นกษัตริย์แห่งพวกยูดายเถิด.  พิลาโธตอบว่า, เราได้จารึกไว้แล้วอย่างไร, ก็เอาไว้อย่างนั้นเถิด.  ขณะเมื่อพระเยซูต้องตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนนั้น, ก็มีเมตตาแก่คนที่มากระทำโทษ.  จึงกล่าวอ้อนวอนถึงพระบิดาเจ้าว่า, ข้าแต่พระบิดา, ขอจงได้โปรดยกโทษพวกคนเหล่านี้เถิด, เพราะเขากระทำด้วยเขาไม่รู้เหตุที่เขากระทำ.  ฝ่ายพวกทหารก็เข้ามาถอดเอาเสื้อของพระองค์ออก, แล้วเอามาฉีกแบ่งเป็นสี่ส่วน, แจกกันสี่คน. ยังเสื้อครุยตัวหนึ่ง, เขาทอเป็นตัวเสื้อไม่มีรอยตะเข็บ ตั้งแต่คอเสื้อตลอดลงมาจนถึงตีน.  เหตุฉะนี้พวกทหารจึงพูดกันว่า, เสื้อตัวนี้เราอย่าฉีกเลย. แต่ว่าเราจับสลากกันเถิด, ตามแต่ใครจะได้. เขาก็ทำฉลากจับกัน.  อันพวกทหารทำดั่งนั้น, ก็สมด้วยคำทำนายในหนังสือพระเจ้า, ว่าไว้ว่า, เขาเอาเสื้อของเราแบ่งปันกัน.  แลเสื้อครุยนั้นของเราเขาทำฉลากจับกัน.

ขณะเมื่อพวกทหารเอาพระเยซูขึ้นตรึงไว้นั้น, เป็นเพลาสามโมงเช้า. เขายังนั่งเฝ้าพระองค์อยู่. ฝูงคนทั้งปวงพิศแลดูพระเยซู. พวกปุโรหิตแลผู้เฒ่าผู้แก่, ก็ชวนกัน ว่ากล่าวหยาบหยามพระองค์ว่า, มันได้ช่วยสงเคราะห์ผู้อื่น.  ถ้ามันเป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้แล้ว, ให้มันกระทำให้รอดเองซี้.  พวกทหารก็เย้ยหยัน, เอาน้ำส้มมาส่งให้เป็นทีจะให้กิน.  แล้วว่าถ้าท่านเป็นกษัตริย์แห่งพวกยูดายจริง จงให้รอดเองเถิด.  บรรดาคนที่เดินผ่านไปข้างหน้าไม้กางเขนนั้น, ก็เย้ยหยันสั่นหัวพยักหน้าว่า, อ๋าท่านผู้จะทำลายวิหาร, แลจะทำขึ้นใหม่ให้แล้วในสามวัน, ถ้าท่านเป็นบุตรพระเจ้าแท้, ก็จงช่วยให้ตัวรอดเองได้, หลุดลงจากไม้กางเขนเถิด. พวกปุโรหิตใหญ่, แลพวกอาลักษณ์ แลผู้เฒ่าผู้แก่, ก็ดูหมิ่นล้อเลียนเหมือนกัน.  ว่ามันช่วยคนอื่นให้รอดได้. ส่วนตัวมันเองมันช่วยไม่ได้.  ถ้ามันเป็นกษัตริย์พวกอิศระเอลจริงแล้ว, ก็ให้มันหลุดลงจากไม้กางเขนเดี๋ยวนี้เถิด, เราจึงจะเชื่อมัน ๆ เคยวางใจในพระเจ้า, ถ้าพระเจ้าประสงค์จะช่วยมัน, ก็ให้ช่วยเถิด. เพราะมันพูดอวดว่า, มันเป็นบุตรพระเจ้า. ส่วนโจรคนหนึ่งที่ต้องตรึงอยู่พร้อมกับพระองค์, ก็พลอยเยาะเย้ยพระองค์ด้วย, ว่าถ้าแม้นตัวเป็นพระคริสต์จริง, ก็จงให้ตัวเองกับเรารอดได้เถิด.  ฝ่ายโจรที่ต้องตรึงอยู่ข้างหนึ่ง, จึงห้ามปรามโจรผู้นั้นว่า, เอ็งก็ต้องโทษอยู่เหมือนท่านแล้ว, จะไม่ยำเกรงในพระเจ้าหรือ.  เอ็งกับเราต้องรับอาชญาเช่นนี้ก็ควรอยู่, เพราะได้รับปรับโทษตามความผิด. แต่ท่านนี้ไม่ควรจะต้องโทษ เพราะท่านไม่มีความผิดสักนิดเลย.  โจรคนนั้นว่าแล้ว, ก็ผินหน้าเข้ามากล่าวอ้อนวอนพระเยซูว่า, ท่านเจ้าข้า, เมื่อท่านจะเข้าสู่เมืองของท่านแล้ว, ขอท่านจงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเถิด. พระเยซูจึงตอบแก่เขาว่า, เราว่าแก่ท่านเป็นคำแน่, ในวันนี้ท่านจะได้ไปอยู่กับเราในที่ความสุข.


บทที่ ๓๖

ครั้งนั้นมีหญิงสี่คน, คือมาเรียมารดาพระเยซู ๑, น้องสาวมาเรียคน ๑, แลมาเรีย ภรรยาเกลวพา คน ๑, แลมาเรียมักตาลา[11] คน ๑, กับโยฮันผู้เป็นศิษย์พระเยซู. มายืนอยู่ที่ใกล้ไม้กางเขนแห่งพระเยซู. เมื่อพระองค์แลเห็นมารดา, แลโยฮันยืนอยู่ที่นั้น, จึงสั่งมารดากับโยฮัน, ให้ปรนนิบัติรักษากันฉันแม่ลูก. ตั้งแต่เวลานั้นโยฮันก็ปรนนิบัติรักษามารดาพระเยซู, พาไปอยู่ในบ้านของตัว.
ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันศุกร์, ก็บังเกิดมืดครึ้มเหมือนกลางคืนทั่วไปทั้งแผ่นดิน, ไปจนถึงเพลาบ่ายสามโมง. พระเยซูก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า, เอโลยเอโลยลามา ซบักธานี, แปลว่าพระเจ้าของข้า, พระเจ้าของข้า, เหตุไฉนท่านจึงละทิ้งข้าพเจ้าเสีย. บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั้น เมื่อเขาได้ยินพระเยซูร้องดั่งนั้น, เขาจึงว่า, เราจงคอยดูเขาร้องเรียกเอลียา.  ฝ่ายพระเยซูรู้ว่า, กิจการที่จะไถ่โทษมนุษย์นั้นเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว, จึงว่าเราอยากน้ำ.  มีน้ำส้มอยู่ในถ้วย. คนผู้หนึ่งก็วิ่งไปเอาฟองน้ำอันหนึ่ง, ชุบน้ำส้มนั้น, เอามาผูกเข้ากับปลายไม้อ้อ, ส่งขึ้นไปถึงปากพระเยซู, ให้พระองค์ดูดกิน. บางคนห้ามว่า อย่าให้มันกินเลย.  เราคอยดูเอลียาจะมาช่วยให้มันหลุดลงมาได้หรือไม่.  ครั้นพระเยซูดูดน้ำส้มกินแล้ว จึงว่า, ธุระของเราสำเร็จแล้ว.

แจ้งว่า, ที่พระองค์มาทนทุกข์ทรมาน, จะไถ่โทษมนุษย์ การณ์นั้น, ก็สำเร็จแล้ว.

พระเยซูก็ร้องด้วยเสียงอันดังอีกว่า, โอ้พระบิดา, ข้าพเจ้าปรารถนาจะวางจิตของข้าพเจ้า ไว้ในฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์.  ว่าเท่านั้นแล้ว, พระองค์ก็ก้มศรีษะลง, ยอมให้ดวงจิตออกจากกาย. พระเยซูสิ้นพระชนม์. ในขณะนั้นม่านในวิหาร, ที่บังห้องประเสริฐบริสุทธิ์นั้น, ก็ขาดเป็นสองท่อน, ตั้งแต่เบื้องบนจนตลอดถึงล่าง. พื้นแผ่นดินก็สะเทือนหวั่นไหว.  ภูเขาสีลาก็แยกแตกออกจากกัน.  แลหลุมฝังศพก็เปิดออกเองเป็นอัศจรรย์.

ฝ่ายนายหมวดคนหนึ่ง, แลบรรดาคนที่เฝ้าพระเยซูอยู่นั้น, เห็นแผ่นดินไหวแลการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เป็นมานั้น, ก็สะดุ้งตกใจกลัวนัก.  แล้วเขาร้องว่า, แท้จริงท่านผู้นี้เป็นบุตรพระเจ้า, เป็นผู้เที่ยงทัน.  แลบรรดาพลไพร่เมืองยูดายที่มาประชุมกัน, พิศดูเหตุการณ์แห่งพระเยซูนั้น. ต่างคนต่างตีอกตกใจ, แล้วกลับไป.  แลพวกเพื่อนของพระเยซู, แลพวกผู้หญิงที่ติดตามพระองค์มาแต่เมืองคาลิลาย, ก็ยืนอยู่แต่ไกล, เพ่งดูพระเยซู.  ในพวกผู้หญิงนั้น, ชื่อมาเรียมักดาลา, แลมาเรียแม่ของยาโกโบน้อย, แลโยเซแลซาโลมะ.  หญิงเหล่านี้เคยติดตามปรนนิบัติพระเยซูเมื่ออยู่ในเมืองคาลิลาย.  ยังมีหญิงอื่นอีกหลายคน, ได้ติดตามพระองค์ขึ้นมาถึงเมืองยรูซาเลม, ก็ได้เห็นพระองค์ต้องตรึงอยู่.

ในเพลาเย็นวันนั้น, พวกยูดายทั้งปวงก็พากันเข้าไปกราบเรียนกับพิลาโธ, ขอให้หักแข้งขาพระเยซู, แลคนโทษสองคนนั้น, ให้ตายเร็ว, ด้วยจะได้เอาไปเสียจากไม้กางเขนนั้น.  เพราะกฎหมายพวกยูดายตั้งไว้ว่า, คนโทษถึงตายไม่ให้แขวนค้างคืนไว้.  พวกยูดายจะใคร่ให้เสร็จเสียก่อนวันซะบัดโต.  พิลาโธก็ยอมให้พวกทหารไปหักแข้งขาเสียให้ตาย.  เมื่อเขามาถึงที่ตรึงโจรนั้น, เห็นยังไม่ตาย. เขาก็หักแข้งขาเสียให้ตาย. ครั้นมาถึงกางเขนพระเยซู, เขาเห็นพระองค์ตายเสียแล้ว. เขาก็ไม่หักแข้งขาศพพระองค์.  แต่ว่าทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงเข้าที่สีข้างพระเยซูตลอดถึงหัวใจ. น้ำเลี้ยงหัวใจกับโลหิตก็ไหลออกมา. เขากระทำอย่างนี้, ก็สมด้วยคำทำนายที่จารึกไว้ว่า, กระดูกอันใดอันหนึ่งในกายท่านจะไม่ได้หัก. ประการหนึ่งคนทั้งปวงจะได้เพ่งพิศดูท่าน, ซึ่งเขาแทงด้วยทวน.


บทที่ ๓๗

ครั้นเพลาค่ำลงมีเศรษฐีคนหนึ่ง, เป็นชาวเมืองอาริมาเตีย อยู่ในแว่นแคว้นยูดาย. เศรษฐีนั้นชื่อโยเซบะ, มีวาสนามาก ใจสัตย์ซื่อ, เป็นผู้ปรึกษาราชการเมืองยูดาย. คอยหาเมืองพระเจ้า. จึงเข้าเป็นศิษย์พระเยซู. แต่ก่อนไม่อาจให้คนรู้ว่า, ตัวนับถือพระเยซู. บัดนี้อาจเข้าไปหาพิลาโธ, ขอเอาศพพระเยซู.
เมื่อพิลาโธได้ยินว่า, พระเยซูตายแล้ว, ก็ประหลาดใจนัก. จึงให้หานายหมวดคนหนึ่งมา, ด้วยปรารถนาจะถามว่า, พระเยซูตายจริงหรือไม่. เมื่อนายหมวดบอกให้รู้ว่าตายจริงแล้ว.  พิลาโธจึงให้โยเซบเอาศพพระเยซูไป. ฝ่ายโยเซบก็ไปซื้อเอาผ้าป่านเนื้อละเอียดดี.  จะมาห่อพันศพ.  ฝ่ายนิกะเดโม, ที่แต่ก่อนได้มาหาพระเยซูในเพลากลางคืนนั้น, ก็เอาเครื่องหอมมาหนักประมาณเจ็ดสิบชั่ง, เอามาเพื่อจะใส่ในศพพระเยซู.  โยเซบกับนิกะเดโม, ก็ช่วยกันเอาผ้าป่านสะอาด, กับเครื่องหอมนั้นใส่พันห่อศพไว้, ตามธรรมเนียมยูดายจัดแจงศพฝัง.  ในที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง. ในสวนนั้นมีอุโมงค์ศพใหม่ของโยเซบ ให้ขุดศิลาใหญ่ทำเป็นอุโมงค์ไว้, สำหรับจะได้ใส่ศพเมื่อตัวตาย.  โยเซบกับนิกะเดโม, ก็เชิญศพพระเยซู, ใส่ไว้ในอุโมงค์นั้น, ในเพลาเย็นวันศุกร์.  แล้วก็กลิ้งเอาก้อนศิลาใหญ่ มาปิดปากอุโมงค์ไว้, แล้วก็ไป.

ฝ่ายมาเรียมักดาลา, แลมาเรียมารดาโยเซ, ก็มาดูที่เขาไว้ศพพระเยซู.  ภายหลังหน่อยหนึ่ง, พวกหญิงที่มาด้วยพระเยซู แต่เมืองคาลิลาย, เขาก็พากันมาที่ไว้ศพนั้นด้วย. ครั้นเขาเห็นที่ฝังแล้ว, เขาก็กลับไปที่อาศัย.  แล้วก็จัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันไว้.  ครั้นถึงวันเสาเขาก็หยุดการนั้นไว้, ตามคำพระเจ้าบัญญัติ, เพราะเป็นวันซะบัดโตแห่งพวกยูดาย. แต่มาเรียมักดาลา, กับมาเรียมารดาโยเซไม่ได้กลับมาด้วยพวกผู้หญิงนั้น. ก็นั่งอยู่ที่อุโมงค์ศพนั้น.

ในเพลาค่ำวันศุกร์, พวกปุโรหิตใหญ่, แลพวกฟาริซายก็มาหาพิลาโธพร้อมกัน. เรียนว่าท่านเจ้าข้า, ข้าพเจ้าทั้งหลายระลึกขึ้นได้ว่า, ไอ้คนสอนผิดนั้น, มันว่าไว้เมื่อยังเป็นอยู่ว่า, ครั้นสามวันแล้วเราจะกลับเป็นขึ้นมาอีก.  ขอท่านได้สั่งกำชับให้เขาเฝ้าอุโมงค์นั้น, ให้มั่นคงจนถึงวันที่สามเถิด.ด้วยกลัวว่าลูกศิษย์มันจะลอบมาเพลากลางคืน, ขโมยเอาศพไปเสีย.  แล้วพวกมันจะไปบอกเล่าแก่คนทั้งหลายว่า, เยซูมันเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว.  ถ้ากระนั้นคำสั่งสอนผิดภายหลัง, จะกำเริบยิ่งกว่าแต่ก่อน.  พิลาโธจึงตอบแก่เขาว่า, ท่านทั้งหลายก็มีทหารสำหรับเฝ้าอยู่แล้ว. ก็ให้เขาไปเฝ้าอุโมงไว้ให้มั่นคงเต็มกำลังเถิด.   เขาทั้งหลายจึงไปตีตราประทับไว้, ที่หินปิดปากอุโมงค์, แลเกณฑ์ทหารหลายคนให้ล้อมเฝ้าอุโมงค์ไว้มั่นคง.

ครั้นถึงวันซะบัดโตแห่งพวกยูดาย, คือวันเสาร์, มาเรียมักดาลา, แลมาเรียแม่ของยาโกโบ, แลนางซาโลมะ, เขาได้ซื้อเครื่องหอมไว้ก่อน, เพื่อจะเอามาใส่ที่ศพพระเยซู. ครั้นเพลาเช้ามืดวันอาทิตย์เกือบจะสว่าง, หญิงพวกนั้น, ก็พากันมาถึงที่อุโมงค์ไว้ศพ.  เมื่อเขาเดินไปตามทางยังไม่ถึง, เขาพูดกันว่า, ใครจะได้ช่วยเรากลิ้งหินออกจากประตูอุโมงหนอ, เพราะหินนั้นใหญ่นัก.  เมื่อเขายังไม่มาถึงที่นั้น, ก็บังเกิดเหตุสะเทือนแผ่นดินไหวเป็นอันมาก, เพราะทูตพระเจ้าองค์หนึ่งมาแต่สวรรค์, ทูตองค์นั้นมีลักษณะรูปร่างรุ่งเรืองเหมือนฟ้าแลบ. แลเสื้อผ้านั้นขาวเหมือนหิมะ.  พวกทหารที่เฝ้าอยู่เห็นดั่งนั้นก็ตกใจกลัวตัวสั่น, แล้วสลบไปเหมือนตาย. ในขณะนั้นศพคนบริสุทธิ์ที่ลับอยู่ในหลุมฝัง, ก็ฝื้นขึ้นมาจากตายมากหลายคน, ออกจากหลุมเข้าไปสู่เมืองยรูซาเลม. สำแดงตัวให้ปรากฏแก่ตามนุษย์เป็นหลายคน.

ฝ่ายพวกผู้หญิงที่นำเครื่องหอมจะมาใส่ที่ศพพระเยซู, คั้รมาถึงอุโมงค์, ก็แลเห็นก้อนหินกลิ้งออกไปเสียแล้ว.  ส่วนนางมาเรียมักดาลา, ครั้นเห็นดั่งนั้น, ก็วิ่งกลับไปบอกเพชโรแลโยฮันว่า, เขามาเอาศพพระองค์เจ้าออกจากอุโมงค์ไปเสียแล้ว.  เขาเอาไปไว้ที่ไหนพวกเราก็ไม่รู้เลย.

เมื่อมาเรียมักดาลา, ยังไปหาเพชโรนั้น, มาเรียมารดาโยเซ, กับนางซาโลมะ, ก็พากันเข้าไปดูที่อุโมงค์ศพด้วย. พบทูตสวรรค์องค์หนึ่งโสภาพักตราเหมือนชายหนุ่ม. กายทรงเครื่องประดับขาวบริสุทธิ์งามดี.  นั่งอยู่เบื้องขวาอุโมงค์ศพ.  เมื่อหญิงทั้งสองได้เห็นดั่งนั้น, ก็สะดุ้งตกใจกลัว. ทูตสวรรค์จึงกล่าวคำปราศรัยกับหญิงนั้นว่า, ท่านทั้งสองอย่าเป็นทุกข์วิตกเลย.  เรารู้อยู่แล้วว่า, ตัวท่านมาเยี่ยมศพพระเยซูชาวนาซาเรด, ที่ต้องตรึงอยู่จนตายนั้น.  ท่านจงรู้เถิดว่า, เดี๋ยวนี้ศพพระเยซูไม่ได้อยู่ที่นี่.  เพราะท่านเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว, ตามคำพระองค์ได้ว่าไว้กับท่านนั้น.  จงได้เข้ามาใกล้, แลดูที่เขาไว้ศพพระองค์เจ้าเสียก่อน, แล้วรีบพากันไปโดยเร็ว, ไปหาพวกศิษย์ทั้งปวงกับเพชโร. แจ้งความให้รู้ว่า, พระเยซูกลับเป็นแล้ว, จะไปสู่เมืองคลิลายก่อนหน้าท่านทั้งปวง.  ท่านทั้งหลายจะได้พบเห็นพระองค์อยู่ที่เมืองนั้น, เหมือนคำพระองค์ทำนายไว้แต่ก่อนจริง.  นี่แน่ะ เราบอกจงดูเถิด.  เมื่อมาเรียและซาโลมมะได้ฟังดั่งนั้นแล้ว, ก็รีบไปจากที่อุโมงค์ศพ. มีความกลัวตัวสั่นแลอัศจรรย์ใจนัก.  มีความยินดีด้วย. เขาก็รีบเอาเนื้อความอันนี้ไปแจ้งศิษย์ทั้งปวงฟัง.

ฝ่ายเพชโรแลโยฮัน, ครั้นได้ฟังมาเรียมักดาลามาเล่านั้น, เขาก็วิ่งไปพร้อมกัน, แต่โยฮันนั้นวิ่งเร็วไปถึงก่อน. แล้วก้มลงดูในอุโมงค์.  ได้เห็นแต่ผ้าที่ห่อศพนั้น. ไม่อาจจะเข้าไปในอุโมงค์นั้นได้.  บัดเดี๋ยวหนึ่งเพชโรก็วิ่งมาถึง, จึงเข้าไปในอุโมงค์ศพนั้น. เห็นผ้าที่ห่อศพแลผ้าที่พันศรีษะนั้นเป็นปกติดีอยู่.  แล้วโยฮันก็เข้าไปดูบ้าง, ก็เห็นเหมือนกัน.  คนทั้งสองก็ประหลาดใจนัก. แต่น้ำจิตเชื่อเป็นแท้ว่า, พระเยซูคงเป็นขึ้นมาจากตาย.  แล้วศิษย์ทั้งสองก็กลับไปบ้านของตน.


บทที่ ๓๘

ฝ่ายมาเรียมักดาลาก็กลับตามเพชโรแลโยฮันมาด้วยอีก. ครั้นไม่เห็นศพ[12]จริงดังนั้น, ก็เป็นทุกข์วิตกใจนัก. ไม่กลับไปบ้าน, กับด้วยเพชโตร(ที่อื่น ว่า เพชโร) แลโยฮัน. แล้วก้มลงดูในอุโมงศพ. ได้เห็นทูตสวรรค์สององค์, ประดับกายด้วยผ้าขาวบริสุทธิ์. องค์หนึ่งนั่งอยู่เบื้องศีรษะศพ. องค์หนึ่งนั่งอยู่เบื้องปลายเท้าศพ. ทูตสวรรค์ทั้งสองจึงว่ากับมาเรียว่า, สตรีเอ๋ย, ท่านมาร้องไห้ทำไม. มาเรียจึงบอกว่า, ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะเหตุว่า, เขาเอาศพพระองค์เจ้าของข้าไปเสีย.  จะเอาไปไว้ที่ใด, ข้าพเจ้าไม่แจ้งเลย.  ว่าเท่านั้นแล้ว, ก็เบือนหน้าออกมาข้างนอกเห็นพระเยซูมายืนอยู่เบื้องหลัง, แต่มาเรียไม่รู้จัก, คิดว่าเป็นชาวสวนอยู่ที่นั่น.  พระเยซูจึงถามว่า. นี่แน่ะ ท่านผู้หญิงเอ๋ย, ท่านมาร้องไห้ทำไม. ท่านมาหาผู้ใด.  มาเรียจึงถามว่า, ท่านเอาศพพระเยซูไว้ที่ไหน, จงบอกแก่ข้าพเจ้าให้แจ้ง, ข้าพเจ้าจะได้ไปเอา. พระเยซูจึงร้องเรียกว่า, ท่านมาเรียเอ๋ย.  มาเรียได้ฟังร้องเรียกตัวดั่งนั้น, เหลียวหน้าออกไป, ก็รู้แน่ว่าเป็นพระเยซูแท้จริงแล้ว.  จึงกล่าวว่า, ราโบนี, แปลว่า พระอาจารย์เจ้าเอ๋ย.  ว่าแล้วก็วิ่งเข้าไป,  จะกอดเอาท้าวพระเยซู ด้วยความยินดีนัก.  พระเยซูจึงห้ามว่า, อย่าเพิ่อถูกต้องตัวเราก่อน, ด้วยเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเราก่อน.  แต่ว่าท่านจงไปแจ้งความแก่พวกพี่น้องของเรา,  คือพวกศิษย์ทั้งปวงให้รู้ว่า, เราจะเหาะขึ้นไปถึงพระบิดาของเรา, แลพระบิดาของท่าน.  ถึงพระเจ้าของเรา, แลพระเจ้าของท่านทั้งปวงด้วย.  มาเรียได้ฟังดั่งนั้น, ก็รับคำสั่งกราบลาพระเยซูไป.

ครั้นเดินไปกลางทางพบนางมาเรียมารดาโยเซ, แลนางซาโลมะมารดาโยฮัน. จึงชวนกันไปทั้งสามคน.  ยังไม่ทันถึงที่ศิษย์พระเยซูอยู่, พระเยซูก็สำแดงกาย, ให้หญิงทั้งสามเห็นอีก.  แล้วพระองค์ก็อวยพรว่า, ให้จำเริญสวัสดิมงคลแก่ท่านเถิด.  หญิงทั้งสามได้เห็นก็ยินดี. วิ่งเข้ากอดเอาเท้าพระเยซู.  แล้วสวดนมัสการแก่พระองค์อยู่ที่นั่น. พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า, ท่านอย่าคิดกลัวอันใดแลสงสัยเลย.  จงไปบอกแก่พวกพี่น้อง, คือศิษย์ของเรา, เพื่อจะให้เขาทั้งปวงเร่งไปในเมืองคาลิลาย.  ศิษย์ทั้งปวงคงจะพบเห็นตัวเราปรากฏที่นั่น.

หญิงทั้งสามรับคำแล้วลาไป.  ยังมิทันถึง, ฝ่ายพวกทหารที่เฝ้าศพพระเยซูฟี้นขึ้น.  ครั้นเห็น.  ครั้นเห็นว่าศพพระเยซูหายไป, เป็นอัศจรรย์ดั่งนั้น, ก็มาแจ้งความแก่พวกปุโรหิต. พวกปุโรหิตครั้นแจ้งดั่งนั้น, จึงหาผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวงมาพร้อมกัน.  จึงปรึกษาตกลงกัน. แล้วเอาเงินสินบนมาก ให้แก่พวกทหารที่เฝ้าศพพระเยซูนั้น.  แล้วว่าเจ้าจงใส่ความพาโลว่า, พวกศิษย์เยซูมาเอาศพเยซูไปเสีย, ในเวลากลางคืน. เมื่อเรานอนหลับอยู่.  พวกปุโรหิตจึงสัญญากับพวกทหารว่า, เจ้าอย่าเป็นทุกข์กลัวพญาพิลาโธจะเอาโทษเลย.  แม้นพญาพิลาโธจะคิดเอาโทษเจ้า, เราจะว่ากล่าวเอาเนื้อเอาใจท่าน, แลให้เจ้าพ้นโทษเสีย.  พวกทหารก็รับสินบน, แล้วไปเที่ยวพูดพาโลใส่ความเอาพวกศิษย์พระเยซูเหมือนคำปุโรหิตสั่ง.  เหตุฉะนี้พวกชาวเมืองยูดายทั้งปวง, ก็เชื่อเอาคำคนพวกทหาร, พาโลเอาพวกศิษย์พระเยซูนั้น.  จึงไม่ใคร่นับถือพระเยซูมาตราบเท่าทุกวันนี้.

ขณะเมื่อวันพระเยซูตายนั้น, พวกผู้หญิงชาวเมืองคาลิลาย, ที่ออกมาร้องไห้รักศพพระเยซูนั้น, ครั้นกลับไปจัดแจงเครื่องหอมทั้งปวงเสร็จแล้ว, รุ่งขึ้นเช้าเป็นวันอาทิตย์.  เขาก็ชวนกันออกมาถึงที่ฝังศพพระเยซูแต่เช้ามืด.  เห็นแผ่นศิลา, ที่ปิดปากอุโมงค์นั้นเปิดอยู่.  จึงชวนกันไปหาในอุโมงค์ ก็ไม่พบศพ.  ต่างคนต่างคิดประหลาดใจสงสัยนัก.  แล้วก็แลเห็นทูตสวรรค์สององค์. มีเครื่องประดับกายส่องแสงสว่างเหมือนแสงแก้ว.  ก้มหน้าลงหมอบนิ่งอยู่กับพื้นดิน.  ทูตสวรรค์จึงถามว่า, ท่านจะมาหาคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในอุโมงค์นี้ทำไมเล่า.  ท่านมิได้อยู่ที่นี่. ท่านเป็นขึ้นคืนไปแล้ว.  ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคำที่ทำนาย,  ที่พระเยซูตรัสไว้แก่ท่านแต่ก่อน, เมื่อพระองค์ยังอยู่กับท่านในเมืองคาลิลาย.  คำทำนายนั้นว่า, บุตรมนุษย์จะต้องยอมมอบกายในมือคนบาป.  จะต้องตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนถึงสิ้นชีวิต.  ครั้นถึงวันที่สามจะเป็นขึ้นมาจากความตาย.  พวกหญิงทั้งหลายแจ้งดั่งนั้น, ก็คิดขึ้นได้ถึงคำอันนี้, เมื่อพระองค์ยังเป็นอยู่ได้ว่าไว้ก็ควรเชื่อถือ.  แล้วกลับไปบอกความแก่ศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคน, แลศิษย์อื่นทั้งปวงด้วย.

ครั้นอยู่มาหน่อยหนึ่ง, มาเรียมักดาลา, แลมารดาโยเซแลนางซาโลมะมารดาโยฮัน แลนางโยอันนา, มาถึงพวกศิษย์เห็นเขา, ยังเศร้าโศกร่ำไรน้ำตาไหลรักพระเยซูอยู่ จึงเล่าให้พวกศิษย์สิบเอ็ดคนฟัง, ตามที่ตัวได้เห็นได้ยิน.  ครั้นเขาได้ยินความที่หญิงทั้งปวงนั้นมาบอกว่า, พระเยซูเป็นขึ้นไปแล้ว, เขายังสงสัย, ด้วยคิดว่า, หญิงเหล่านี้เอาความเท็จมาพูด.

ฝ่ายเพชโรก็รีบไปถึงที่ศพพระเยซูอีกครั้งหนึ่ง.  ครั้นถึงจึงก้มลงมองดูในอุโมงค์, ก็ไม่เห็นศพ. เห็นแต่ผ้าห่อเหมือนหนก่อน.  แล้วเพชโรจะกลับบ้าน, เดินมาตามทางแต่ผู้เดียว. พระเยซูก็สำแดงกายให้เพชโรเห็น. เพชโรเห็นดั่งนั้นก็คิดอัศจรรย์ใจมากนัก.


บทที่ ๓๙

ในวันนั้น, ศิษย์แห่งพระเยซูสองคน, เดินออกจากเมืองยรูซาเลม, จะไปบ้านแห่งหนึ่งชื่อเอมาอู. เมื่อเดินไปตามทาง, จึงพูดจาสนทนากัน, ถึงความที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย. พูดพลางเดินพลาง. ในขณะนั้นพระเยซูก็มาสำแดงกาย, ให้ศิษย์ทั้งสองนั้นเห็น. คนทั้งสองไม่รู้จักว่า, เป็นผู้ใด. ศิษย์คนหนึ่งชื่อเกลวพา จึงตอบว่า, ท่านเป็นคนต่างประเทศ, จึงไม่รู้เหตุอันเกิดในเมืองนี้หรือ. พระเยซูจึงถามว่า, เป็นเหตุอันใด. คนทั้งสองจึงตอบว่า, เหตุแห่งพระเยซูเจ้าชาวบ้าน นาซาเรด, ผู้สำแดงการงานและคำสั่งสอนอันใหญ่หลวง, ในจำเพาะพระเจ้า, แลต่อหน้าฝูงราษฎรทั้งปวง. พวกปุโรหิตแลขุนนางของเราทั้งปวง, ได้มอบตัวพระเยซูไว้, ให้ปรับโทษ. เอาไปตรึงไว้ไม้กางเขนจนสิ้นชีวิต. แต่ก่อนพวกเรานับถือท่านหมายว่า, ท่านจะได้ช่วยพวกอิศระเอล, ให้พ้นจากอำนาจเมืองโรม.  ถัดมาแต่วันเขาตรึงพระเยซูไว้นั้น, ถึงวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว.  อนึ่งหญิงหลายคน, เป็นพวกของเรา, เพลาวันนี้เช้ามืด, ก็ไปดูในอุโมงค์ไว้ศพนั้น, กลับมาบอกเล่าให้เราฟังเราอัศจรรย์ใจนัก.  เขาว่า, ไม่เห็นศพ, พบแต่พวกทูตสวรรค์, ที่สำดแงว่า, พระเยซูกลับเป็นไปแล้ว.  พวกคนอื่นก็ไปดูได้เห็นเป็นหลายคน.  ไม่ได้พบเห็นศพเลย. ฝ่ายพระเยซูจึงตรัสว่า, ท่านผู้เป็นคนโแดใจกระด้างไม่ใคร่จะเชื่อฟังคำทำนาย, ที่บอกไว้แต่ก่อนนั้น.  ถ้าจะให้ถูกต้องคำทำนายนั้น, ก็จำเป็นให้พระคริสต์ต้องทรมานตัว, แลตายแทนโทษมนุษย์, แล้วกลับขึ้นไปสู่รัศมีแห่งตนนั้น, มิใช่หรือ.  แล้วพระเยซูก็สำแดงเรื่องคำทำนาย, ที่เล็งเอาพระเยซูนั้น, ตั้งแต่โมเซตลอดบรรดาคนทำนายลงมา, ให้คนทั้งสองแจ้งสิ้นทุกประการ.  ครั้นพระเยซูแลคนทั้งสองนั้น, เดินมาใกล้จะถึงบ้านเอมาอูเข้า, พระเยซูก็แสร้งทำเป็นจะเดินต่อไปอีก.  คนทั้งสองก็ร้องเชิญไว้.  พระเยซูก็ยอมเข้าไปอยู่ด้วย.  ครั้นเพลารับอาหาร, คนทั้งสองจึงเชิญพระเยซูให้กินด้วยกัน.  พระเยซูก็ยอมแลหยิบขนมปัง, สวดอธิษฐานถึงพระบิดาเจ้า.  แล้วหักขนมออกให้คนทั้งสองกิน.  เขาก็รับเอามากินแล้ว,  เขาเพิ่งรู้จักว่า, ท่านเป็นพระเยซูแท้  ในขณะนั้นพระเยซูก็หายไปจากที่คลองตาผู้นั้น.  คนทั้งสองจึงพูดกันว่า, ครั้นเมื่อพระองค์มาสนทนากับเราในหนทาง, แลสำแดงคำทำนายให้เราเข้าใจในเรื่องพระเจ้านั้น, ใจเรามิรื่นเริงหรือ.  ครั้นเพลาพลบค่ำคนทั้งสองนั้น, ก็กลับไปสู่เมืองยรูซาเลม, ไปพบพวกศิษย์พระเยซูสิบเอ็ดคน.  มีศิษย์อื่นอีกหลายคนนั่งพูดจาสนทนากันอยู่,  ถึงเหตุที่พระเยซูตายแล้ว กลับเป็นขึ้นมา.  คนทั้งสองนั้นก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดแก่ตัวที่หนทาง, แลที่พระเยซูสำแดงพระกายเมื่อหักขนมกินนั้น. ฝ่ายพวกศิษย์ก็ไม่ใคร่เชื่อ, ยังสงสัยอยู่.

เพลาค่ำวันอาทิตย์นั้น. เมื่อขณธศิษย์ทั้งปวงนั่งพร้อมกันอยู่ในห้อง, ประตูหน้าต่างก็ปิดมิด, เพราะเขากลัวพวกยูดาย.  พระเยซูก็เข้ามายืนอยู่ ในท่ามกลางพวกศิษย์ทั้งปวง.  ขาดอยู่แต่โธมาผู้เดียว.  พระเยซูจึงตรัสว่า, ท่านทั้งหลายจงจำเริญสุขเถิด.  แต่ว่าพวกศิษย์ก็ตกใจกลัวยิ่งนัก, สำคัญว่าผีมาหลอก.  พระเยซูจึงถามว่า, ทำไมท่านทั้งหลายจึงกลัว. ทำไมจึงมีความคิดสงสัยขึ้นในใจเล่า. นี่แน่ะ, จงมาสังเกตดูมือแลเท้าของเราเถิด, เพื่อจะรู้แน่ว่าเป็นตัวของเราเอง.  จงมาลูบคลำดูตัวเรา, เพราะผีไม่มีเนื้อไม่มีกระดูกเหมือนท่านได้เห็นที่เรา.  แล้วให้ดูที่สีข้าง, ที่แผลเขาแทงพระองค์.  เมื่อพวกศิษย์สังเกตดูพระองค์แล้ว ก็ดีใจ. แต่ยังมีความสงสัยบ้าง.  เพราะยินดีประหลาดใจนัก.  พระเยซูจึงถามเขาว่า, ท่านมีอาหารสิ่งใดบ้าง.  พวกศิษย์จึงเอาปลาทอดชิ้นหนึ่ง, กับรวงผึ้งมาให้พระองค์. พระเยซูก็รับเอาของนั้น, มากินต่อหน้าพวกศิษย์เห็นพร้อมกัน. จึงตรัสว่า, ท่านทั้งหลายจงจำเริญความสุขเถิด.  พระบิดาใช้ให้เราฉันใด, เราก็ใช้ให้ท่านไปฉันนั้น.  ว่าเท่านั้นแล้ว, พระองค์ระบายลมหายใจใหญ่ออกไป,  ให้ลมถูกต้องพวกศิษย์. แล้วกล่าวว่า, ท่านจงรับเอาพระวิญญาณบริสุทธิเถิด.  พระองค์จึงประสาทอำนาจแก่พวกศิษย์สิบเอ็ดคนนั้นว่า, ถ้าท่านจะแก้บาปผู้ใด, บาปผู้นั้นก็คงหาย.  ถ้าท่านจะผูกบาปไว้แก่ผู้ใด, ผู้นั้นก็คงมีโทษแท้.

ฝ่ายโธมาที่อยู่ในพวกศิษย์สิบเอ็ดคนนั้น, ขณะพระเยซูมาสำแดงตัวแก่ศิษย์นั้น, โธมาไม่ได้อยู่ด้วย.  ศิษย์ทั้งปวงจึงบอกแก่โธมาว่า, เราได้พบเห็นพระเยซูแล้ว. โธมาจึงตอบว่า, เราไม่เชื่อเว้นแต่เราจะได้เห็นรอยเหล็กตรึงที่ฝ่ามือพระองค์, แลเราได้เอานิ้วมือแหย่เข้าที่รอยนั้น,  แลเอานิ้วมือแหย่เข้าที่แผลสีข้างแล้วเมื่อใด, เราจึงจะเชื่อเมื่อนั้น.

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง, ศิษย์สิบเอ็ดคนกินโต๊ะอยู่พร้อมกันในห้อง.  พระเยซูก็เข้ามาสำแดงกาย,  แลกล่าวคำติเตียนแก่พวกศิษย์, เพราะเขาสงสัย, ใจกระด้าง, ไม่ใคร่จะเชื่อคำคนที่ได้พบเห็นพระองค์, เมื่อกลับเป็นขึ้นมาแล้ว.

ตั้งแต่วันพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายได้แปดวัน, ถึงวันอาทิตย์อีก, พวกศิษย์นั่งพร้อมกันอยู่ในห้อง.  โธมาอยู่ด้วย. ประตูหน้าต่างปิดมิด.  พระเยซูก็เข้ามาสำแดงกายแก่เขาอีก, ยืนอยู่ในท่ามกลางพวกศิษย์.  จึงตรัสว่า, ท่านทั้งหลายจงจำเริญความสุขเถิด.  แล้วก็ตรัสแก่โธมาว่า, ท่านจงยื่นมือ เอานิ้วคลำดูมือของเราเถิด.  แลยื่นมือท่านออกแหย่เข้าในแผลสีข้างของเรา. อย่าสงสัยจงเชื่อเถิด. โธมาได้ยินดั่งนั้น, ก็เชื่อถือแน่ในใจ.  แล้วกล่าวคำว่า, ท่านคือพระเจ้าของข้าพเจ้า.  พระเยซูจึงตรัสกับโธมาว่า, ท่านเชื่อถือเรา, เพราะท่านได้พบเห็นตัวเราแล้ว.  บุญลาภจะมีแก่บุคคลที่ยังไม่ได้พบเห็นตัวเรา, แต่มีน้ำจิตเชื่อถือในเรา.

ครั้นอยู่มาหน่อยหนึ่ง, พวกศิษย์สิบเอ็ดคนไปสู่ภูเขาแห่งหนึ่ง, ในแว่นแคว้นเมืองคาลิลาย, ที่พระเยซูสั่งไว้, ให้พวกศิษย์ไปคอยจะได้พบเห็นพระองค์.  นอกจากศิษย์สิบเอ็ดคนนั้น ยังมีศิษย์อื่นอีกประมาณได้ห้าร้อยคน, ก็ไปสู่ภูเขานั้นด้วย. ศิษย์ทั้งปวงได้พบเห็นพระองค์ในที่นั่น. แล้วนมัสการกราบไหว้พระองค์.  ศิษย์ที่สงสัยก็ยังมีบ้าง.  พระเยซูก็มาตรัสกับเขาเป็นคำสั่งสอนหลายประการ, ให้เขาแน่ใจ.


บทที่ ๔๐

ครั้นอยู่มาอีกหน่อยหนึ่ง, เพชโร แลโธมาแลยาโกโบ แลโยฮันแล นะธาเนละ, กับศิษย์อีกสองคนชื่อไม่ปรากฏ, อยู่ด้วยกัน. เพชโรจึงว่า, เราจะไปหาปลา. คนทั้งนั้นจึงว่า, พวกเราจะไปด้วย. เขาจึงไปลงเรือในทะเล คาลิลาย, ชวนกันทอดแห, ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง, ไม่ได้ปลาสักตัวเดียว. ครั้นรุ่งเช้าขึ้นพระเยซูยืนอยู่ที่ฝั่งนั้น, ให้ศิษย์ทั้งปวงเห็น. ศิษย์เหล่านั้นไม่รู้จักว่า, เป็นพระเยซู. พระองค์จึงร้องมาว่า, เจ้าผู้ลูกของเราเอ๋ย, เจ้าไม่มีอาหารสิ่งใดบ้างหรือ. ศิษย์ทั้งปวงจึงร้องบอกว่า ไม่มี.  พระเยซูจึงตอบว่า, เจ้าจงเอาแหทอดลงข้างแคมเรือเบื้องขวา, จึงจะได้. เขาได้ฟังดั่งนั้น,  ก็เอาแหทอดลงตาม, ได้ปลาเต็มแห,  จนชักแหขึ้นมาไม่ได้. ฝ่ายโยฮันเห็นดั่งนั้น, จึงว่ากับเพชโรว่า, ท่านผู้นี้เห็นจะเป็นพระองค์เจ้าแน่แล้ว.  ฝ่ายเพชโรได้ยินโยฮันว่าดั่งนั้น, จึงเชื่อมีความดีใจนัก. ก็หยิบเอาเสื้อของตัวสำหรับใช้ในการประมง, ใส่ผูกรัดเข้าแล้ว, ก็โดดลงว่ายน้ำเข้าไปหาพระองค์ที่ริมฝั่ง.  พวกศิษย์ทั้งปวงที่อยู่ในเรือ, จึงเอาแหผูกเข้ากับเรือ, ตีกรรเชียวลากแหเข้าไปริมฝั่งนั้น. เขาจึงแลเห็นกองไฟถ่าน.  มีปลาเผาอยู่บนถ่านไฟ. เห็นขนมมีอยู่ด้วยบ้าง. พระเยซูจึงสั่งพวกศิษย์ว่า ท่านไปเอาปลา, ที่ท่านทอดแหได้มาให้เราบ้าง.  เพชโรกับศิษย์อื่นก็ลงไปลากแหขึ้นบนบก.  ปลาเต็มแหอยู่นับได้ร้อยห้าสิบสามตัวโตๆ แต่แหนั้นไม่ขาด.  พระเยซูจึงเรียกศิษย์ทั้งปวงมากินด้วยกัน.  พวกศิษย์ไม่อาจถามว่าท่านเป็นผู้ใด, เพราะเขาเข้าใจว่า, เป็นพระเยซูเที่ยงแท้.  พระองค์ก็เอาอาหารแจกให้พวกศิษย์กินทั่วกัน.

ครั้นรับอาหารแล้ว, พระองค์จึงถามเพชโรว่า, ซีโมนเอ๋ย, ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้หรือ. เพชโรจึงทูลว่า, พระองค์เจ้าข้า, ท่านรู้อยู่ว่า, ข้าพเจ้ารักพระองค์อยู่.  พระเยซูจึงตรัสกับเพชโรเป็นคำเปรียบว่า, ท่านจงอุตส่าห์เลี้ยงลูกแกะของเราเถิด.  แล้วถามเพชโรอีกว่า, ซีโมนเอ๋ย, ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้หรือ.  เพชโรจึงทูลว่า, พระองค์เจ้าข้า, ก็ทราบอยู่แล้วว่า, ข้าพเจ้ารักพระองค์จริง.  พระเยซูจึงสั่งว่า, ท่านจงเลี้ยงฝูงแกะของเราเถิด.  แล้วพระองค์จึงถามเพชโรเป็นที่สามว่า ซีโมนเอ๋ย, ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้หรือ.  เพชโรรำคาญใจนัก.  เพราะพระเยซูถามดั่งนี้ ถึงสามครั้ง.  เพชโรจึงทูลว่า, พระองค์ก็ทราบถึงสิ่งสารพัดทั้งปวงสิ้น, แลรู้ว่า, ข้าพเจ้ารักพระองค์เที่ยงแท้. พระองค์จึงสั่งกับเพชโรว่า, จงเลี้ยงฝูงแกะของเราด้วยเถิด.  เราบอกแก่ท่านเป็นคำแน่, เมื่อท่านเป็นคนหนุ่ม ๆ ท่านก็ใส่เสื้อผูกรัดเข้าแล้ว, ก็เดินไปได้ตามชอบใจ. ครั้นเมื่อท่านแก่แล้ว, ท่านจะยื่นมือออก ผู้อื่นจะต้องมารัดเสื้อให้แก่ท่าน, จะพาไปสู่ที่ท่านไม่ชอบใจ.  พระองค์ตรัสดั่งนี้เป็นคำทำนายถึงเพชโร. ว่าภายหลังลงไป, พวกอื่นเขาจะมาจับตัวเพชโรมัดไว้ให้ทนทุกข์เวทนาจนตาย.

ครั้นอยู่มาหน่อยหนึ่ง พระเยซูยังอยู่กับพวกศิษย์, จึงสั่งห้ามไม่ให้เขาออกจากเมืองยรูซาเลม, กว่าจะได้พระวิญญาณบริสุทธิมาดลใจ, ตามคำที่พระบิดาสัญญาไว้กับคนผู้ทำนายแต่ก่อน. พระเยซูจึงว่า, ท่านจงคอยความสัญญาแห่งพระบิดา, ซึ่งท่านได้ยินแต่เราแล้ว.  ส่วนโยฮันบัพธิศเธ, ได้ให้คนรับบัพธิศเมก็จริง.  ฝ่ายทหารทั้งหลาย ไม่ช้าไม่นาน, จะต้องรับบัพธิศเมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ.  คำที่เราว่านี้, เป็นคำที่เราว่าแก่ท่านเมื่อเรายังอยู่กับท่านนั้น.  คือว่า, เหตุการณ์ทั้งปวงที่เขียนในหนังสือแห่งโมเซ, แลในหนังสือคนทำนาย, แลในหนังสือคำเพลงที่เล็งมาถึงเรานั้นคงจะสำเร็จสิ้นทุกประการ.  แล้วพระเยซูก็เปิดสติปัญญาพวกศิษย์ออก,  เพื่อจะให้เข้าใจในหนังสือทำนายแห่งพระเจ้า.  แล้วก็ตรัสแก่เขาว่า, หนังสือทำนายเขียนไว้ดั่งนั้นแล้ว, จำเป็นให้คริสต์สู้ทนทรมาน, แลให้เป็นขึ้นมาจากตายในวันที่สาม.  เพื่อจะให้ข้อความที่ให้กลับใจเสียใหม่. แลข้อยกโทษมนุษย์, ให้ป่าวประกาศในชื่อคริสต์ทั่วไป ทุกประเทศมีเมืองยรูซาเลมเป็นต้น.  ท่านทั้งหลายเป็นพยานในข้อความนี้.  ดูเถิดเราจะใช้ให้คำสัญญาแห่งพระบิดาเจ้าเรามาถึงท่าน,  แต่ท่านทั้งหลายจงคอยในกรุงยรูซาเลม,  กว่าท่านจะประกอบด้วยอำนาจมาจากเบื้องบน.


บทที่ ๔๑

ตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย, ถึงคำรบสี่สิบวันเข้าแล้ว, ในวันนั้นพระองค์จึงพาพวกศิษย์ออกจากเมืองยรูซาเลม ไปถึงบ้าน เบธาเนีย. พวกศิษย์จึงมาถามพระองค์ว่า, ในกาลบัดนี้, ท่านจะยกเมืองคืนให้แก่พลอิศระเอลเสียใหม่หรือ. พระเยซูจึงตอบแก่เขาว่า, ไม่ต้องการให้ท่านรู้กาลกำหนด, ซึ่งพระบิดาตั้งไว้ในอำนาจพระองค์ท่าน. แต่ทว่าท่านจะรับอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเหนือท่าน. แล้วท่านจะเป็นพยานแก่เราในเมืองยรูซาเลม, แลทั่วเมืองยูดาย, แลทั่วเมืองซะมาเรีย, แลทั่วถึงสุดแผ่นดิน. ซึ่งฤทธานุภาพอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี, ในแผ่นดินโลกก็ดี, ยกมอบไว้แก่เราแล้ว. เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงออกไป, สั่งสอนทุกตำบลทั่วโลกนี้, ป่าวประกาศมงคลโอวาทแก่คนทุกคน ๆ แลให้เขารับบัพธิศเมในนามชื่อแห่งพระบิดา, แลพระบุตร, แลพระวิญญาณบริสุทธิ.  แลสอนให้เขาถือสารพัดทั้งปวง, ที่เราได้สั่งไว้แก่ท่านแล้ว.  ถ้าผู้ใดได้เชื่อถือ, แลได้รับบัพธิศเมแล้ว, จะรอดพ้นจากโทษ.  ถ้าผู้ใดไม่เชื่อถือแล้ว, จะต้องไปทนทุกข์ทรมานในนรก.  ท่านจงดูเถิด.  เราตั้งอยู่กับท่านทั้งหลายในกาลทุกวัน ๆ  กว่าจะสิ้นโลกแล้ว.

เมื่อพระองค์สั่งสอนดั่งนั้นแล้ว, จึงยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นชูไว้, แล้วสวดให้จำเริญแก่ศิษย์.  เมื่อสวดยังไม่ทันแล้ว, พวกศิษย์ก็พินิจดูเห็นพระองค์เหาะขึ้น, มีเมฆรับพระองค์ไว้จากตาของเขา.  แล้วพระองค์ก็ขึ้นไปสู่สวรรค์,  แลนั่งลงที่เบื้องขวาแห่งพระเจ้า.  พวกศิษย์ทั้งปวง ก็กราบนมัสการถึงพระเยซู.  เมื่อพระองค์เสด็จไปนั้น, พวกศิษย์ก็เขม่นเพ่งดูบนอากาศ, เห็นทูตสวรรค์สององค์ลงมายืนอยู่ใกล้กัน, เครื่องทรงขาวบริสุทธิ์.  กล่าวว่าดูก่อน ชาวเมืองคาลิลายเอ๋ย เหตุไฉนท่านมายืนดูอากาศเล่า.  พระเยซูพระองค์นี้ที่เหาะไปจากท่านไปสู่สวรรค์, ต่อภายหน้าจะเสด็จมาเหมือนท่านได้เห็นเมื่อเหาะไปนั้น.  แต่นั้นมาพวกศิษย์จึงลงมาจากภูเขาเอลายโอน,  กลับไปเมืองยรูซาเลมโดยโสมนัสยินดีนัก.  พวกศิษย์มาถึงแล้ว, จึงเข้าไปสู่ห้องที่เคยอยู่.  ชวนกันคอยท่าพระเยซูตามสัญญา.  สวดอธิษฐานสรรเสริญพระเจ้าทุกวัน ๆ เป็นน้ำใจอันเดียวกัน. บรรดาศิษย์จึงพร้อมกันอยู่ที่นั่น,  ทั้งหญิงทั้งชายถึงร้อยยี่สิบสี่คน.

พวกศิษย์จึงจัดเอาคนสองคน, ชื่อบาซะบาคนหนึ่ง, มัดเธียคนหนึ่ง, เอาไว้ด้วยจะเลือกเอาคนหนึ่ง. ตั้งไว้ในพวกศิษย์ใหญ่แทนยุดาอิศกาโรธ, ที่ส่อเสียดพระองค์แลไปผูกคอตายเสียนั้น.  แล้วจึงสวดอ้อนวอนพระเจ้าว่า, ในสองคนนี้ผู้ใดจะชอบพระทัย.  ที่จะรับใช้เป็นทูตแทนยุดาผู้ได้ตกลงในที่สำหรับตัว.  เขาจึงจับฉลากได้ชื่อมัดเธีย ๆ จึงนับเข้าในพวกทูตสิบเอ็ดคนนั้น.


บทที่ ๔๒

ตั้งแต่พระเยซูเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ได้แปดวัน, พวกศิษย์ทั้งปวงเป็นใจเดียวกัน, ประชุมพร้อมกัน. คอยท่าพระวิญญาณมาดลใจ, ตามคำพระเยซูได้ว่าไว้. ในขณะนั้นมีเสียงดังก้อง สนั่น, มาแต่บนฟ้า, ดั่งเสียงพายุอันแรงกล้า, ให้เต็มทั่วทั้งเรือนที่พวกศิษย์นั่งอยู่นั้น. พวกศิษย์จึงแลเห็นเป็นลิ้นขาด, เป็นแฉก ๆ, ดูเหมือนเปลวไฟ, มาจับอยู่เหนือตัวพวกศิษย์ทุกคน. บรรดาศิษย์จึงประกอบเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตั้งแต่นั้นมาเขาได้พูดภาษาอื่นต่าง ๆ กัน, ตามที่พระวิญญาณให้พูด. คราวนั้นมีพวกยูดายปรนนิบัติครัดเคร่ง, มาแต่ทุกประเทศทั่วใต้ฟ้า, มาหยุดพักอยู่ในเมืองยรูซาเลม. ภาษาคนเหล่านั้นแปลกกันต่างกัน, ถึงสิบหกภาษา.  คนพวกนั้นครั้นได้ฟังพวกศิษย์พระเยซูพูดภาษาต่าง ๆ แต่ว่าถูกต้องกันกับภาษาของตัวทุกพวก ๆ เขาก็คิดประหลาดอัศจรรย์ใจนัก.  ต่างคนต่างพูดไต่ถามกันว่า นี่แน่ะ คนทั้งหลายที่พูดอยู่นี่, เป็นชาวเมืองคาลิลายมิใช่หรือ.  ทำไมเราจึงได้ยินเขาพูดถูกภาษาของเราทุกพวก ๆ ที่เราเคยพูดมาแต่กำเนิด.  เรานี้สิ้นทุกคนได้ยินเขาเล่าเหตุการณ์อัศจรรย์แห่งพระเจ้า, เป็นภาษาของเราเอง.  คนเหล่านั้นก็อัศจรรย์ใจ, สงสัยพูดจากันว่า, เหตุอันนี้จะเป็นไฉนหนอ.  ลางคนประมาทกล่าวเยาะเย้ยว่า, พวกเขาเหล่านี้เต็มด้วยน้ำองุ่นอยู่แล้ว.  แต่เพชโรกับพวกศิษย์สิบเอ็ดคน, ก็ยืนขึ้นแล้วร้องว่า, ดูก่อน พวกยูดายแลคนทั้งปวง, ที่อาศัยอยู่ในเมืองยรูซาเลมเอ๋ย, ท่านจงรู้ความอันนี้, แลจงฟังเอาคำเราเถิด.  พวกศิษย์เหล่านี้จะเมาเหมือนท่านสำคัญนั้นหามิได้,  เพราะว่าบัดนี้เป็นแต่เพลาสามโมงเช้าดอก.  แต่ว่าเหตุนี้เป็นที่โยเอละ, ผู้ทำนายได้ว่าไว้เป็นคำพระเจ้าว่า, ไปในภายหน้าเราจะเทพระวิญญาณแห่งเราลงมาเหนือมนุษย์ทั้งปวง.  แล้วเพชโรจึงเล่าคำทำนายของพระเจ้า, ให้คนทั้งหลายฟัง.  แล้วก็สำแดงเรื่องพระเยซูเจ้า ให้คนทั้งปวงรู้.  ว่าดูก่อนพวกอิศระเอลเอ๋ย, จงฟังเอาคำนี้เถิด.  คือว่าพระเยซูชาวนาซาเรด, ผู้ที่พระเจ้าได้สำแดงว่า, เป็นที่โปรดรักใคร่พอพระทัย.  เพราะการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำไว้.  ในท่ามกลางพวกท่าน,  ด้วยฤทธิเดชพระเยซู, เหมือนท่านทั้งหลายได้เห็นได้รู้แล้ว.  พระเยซูนั้นต้องมอบไว้, ตามน้ำพระทัยที่ล่วงรู้ดำริไว้แน่แต่ก่อนแล้ว.  ท่านเหล่านี้ได้เอามือของพวกคนบาปจับพระเยซู, แลตรึงไว้ที่ไม้กางเขนจนตาย.  แต่พระเจ้าแก้จำจองความตาย, ให้พระเยซูกลับเป็นขึ้นมา, เพราะว่าความตายจะจำพระองค์ไว้ได้นั้นหามิได้.  เราท่านทั้งหลายนี้เป็นพยาน, ว่าพระเจ้าให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว, ให้เหาะขึ้นไปนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์แห่งพระเจ้า, แลให้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์, ซึ่งเป็นสัญญามาแต่พระบิดาแล้ว.  พระเยซูจึงได้เทพระวิญญาณนั้นลงเหนือพวกเรา, ที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้เห็นบัดเดี๋ยวนี้.  ท่านทั้งหลายจงรู้เป็นแน่ว่า, เยซูนี้ที่ท่านได้ตรึงเสีย, พระเจ้ายกตั้งไว้, ให้เป็นเจ้า แลเป็นพระคริสต์แล้ว.

ครั้นเมื่อคนทั้งปวงได้ยินดั่งนี้, ก็สำนึกโทษตัว, ก็แปลบใจ.  จึงเข้ามาถามเพชโร, แลพวกทูตอื่น ๆ ว่า, ท่านผู้พี่น้องเอ๋ย, เราจะทำอย่างไรดี.  ฝ่ายเพชโรตอบกับเขาว่า, ท่านจงตั้งใจเสียใหม่. แลมารับบัพธิศเมในนามชื่อพระเยซูคริสต์ทุกคน ๆ เพื่อความผิดจะโปรดยกเสีย, แลท่านจงมารับประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์, เพราะความสัญญานั้น, จำเพาะแก่ท่านแลลูกหลานแห่งท่าน, แลแก่ผู้ใด ๆ ที่ยังอยู่ไกล, ซึ่งพระเจ้าของท่านจะเรียกมา.  แลเพชโรเป็นพยานแก่เขาด้วยคำอื่นหลายประการ, แลตักเตือนเขาว่า, ให้รอดพ้นจากชาติร้ายนี้เถิด.  ฝ่ายผู้ใด ๆ ที่ได้รับคำเพชโรด้วยชื่นชมยินดี, ได้รับบัพธิศเมในวันนั้นด้วย.  คนก็เข้ารีตเป็นศิษย์พระเยซูประมาณได้สามพันคน.  พวกนั้นก็ตั้งมั่นคงในโอวาทแห่งพวกทูต, แลร่วมใจกันหักขนมกิน แลสวดนมัสการอ้อนวอนอยู่.  คนทั้งปวงมีความยำเกรงเป็นอันมาก.  พวกทูตก็ทำสำคัญอัศจรรย์เป็นหลายประการ.  คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นอยู่พร้อมแห่งเดียวกัน.  คนที่มีทรัพย์สิ่งของ.  ก็เอาไปขายเอาทรัพย์มาแบ่งแจกกัน, ตามที่เขาต้องการทุกคน ๆ เขาไม่หวงแหนแก่กัน, รักใคร่กันชื่นบานอยู่เป็นสุขสำราญ, แลสรรเสริญพระเจ้า.  มีความชอบในไพร่พลทั้งปวง.  แลคนที่พระเจ้าเลือกสรรไว้, แต่ก่อนว่า, จะให้เขาพ้นโทษ, ผู้นั้นพระองค์ก็โปรดให้เข้าในพวกศิษย์มากไปทุกวัน ไปแล.

จบบริบูรณ์แต่เท่านี้.


หมายเหตุ



↑ [𝓣] อักษรสมัยตามอย่างเก่าใช้คำสะกด วรรณยุกต์ คำควบกล้ำแตกต่างกัน ในที่นี้ ในบทนี้และแทบทุกๆบทต่อไปนี้ใช้ถ้อยคำและการสะกด รวมถึงการให้วรรณยุกต์ แบบปัจจุบัน, ส่วนคำบอกชื่อคน หรือชื่อสิ่งของตามชื่อเก่าอย่างของต่างประเทศนั้น ยังคงพยายามคงคำศัพท์ไว้อย่างเดิม เหมือนที่มีในต้นฉบับ
↑ [1] เป็นคำอธิบายกล่าวไว้ก่อน
↑ [2] ประวัติหมอปรัดเล มีกล่าวไว้โดยสำนักราชบัณฑิต ว่า ชี่อ บรัดเลย์ หรือ Dan Beach Bradley หรือที่คนไทยเรียกว่า “ปลัดเล” เป็นชาวอเมริกัน เป็นทั้งนายแพทย์และมิชชันนารี ผลงานที่มีชื่อเสียงนั้นเป็นเรื่องของการพิมพ์ เพราะเป็นผู้เริ่มการพิมพ์ไว้มากก่อนใคร ทั้งที่เกี่ยวกับตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์ชุดแรกของไทยด้วย นอกกว่านั้นได้สนใจริเริ่มการศึกษาเกี่ยวกับภาษาไทยในชั้นที่แปลเป็นอักขราภิธานศัพท์. ในคณะมิชชันนารีที่สังกัดอยู่ ชื่อว่า คณะ A. B. C. F. M. ซึ่งเป็นชื่ออยู่ใต้ข้อหนังสือ LIFE OF CHRIST ในชื่อหนังสือที่จะเห็นต่อไปนั้น. ซึ่งตัวย่อชื่อนั้นเห็นจะแปลว่า American Board of Commissioner Foreign Mission. คณะทำงานของท่านมิชชันนารีดังนี้ เชื่อกันว่า ในสมัยนั้นได้กระทำและส่งเสริมเกี่ยวกับการณ์โอสถสถานและการพยาบาลคนไข้ไว้ด้วย นอกเหนือไปกว่าการพิมพ์และการเผยแพร่ศาสนา
↑ [3.0][3.1][3.2] เสียงวรรณยุกต์ตามฉบับดั้งเดิม กำกับเสียงไว้ด้วยสัญลักษณ์ ไม้โท ไม้เอก แตกต่างกว่าปัจจุบัน และสระ -า ในบางคำศัพท์นั้น เช่นคำว่า ชาติ บูชา หรือ ยรูซาเลม เป็นต้น ใช้ สระ -า ในดังนี้  ซึ่งเป็น อักขระคล้ายว่า เป็นสระ -า เขียนทับด้วยไม้หันอากาศ และอีกประการนั้น ซึ่งคำว่า รัก และคำว่า จิต นั้น จวนแทบทุกคำ ตามเดิมนั้นเขียนว่า รักษ และจิตร
↑ [4] อาจหมายถึง เมืองโฮรมาห์ ซึ่งใกล้กับอาราด เบเออร์เชบา
↑ [5.0][5.1] ✥ข้าพเจ้าหมอปรัดเลได้จัดแจง ทำไว้เมื่อ จุลศักราช พัน สอง ร้อย ปี ชวด โทศก ณวัน อังคาร เดือน สี่ ขึ้น ๓ ค่ำ ณ กรุง ศีอะยุทธะยา นี้ ได้ติภิม ๑๕๐๐ ชบัพ✥ (จาก Nangsư̄ nī pen rư̄ang kitčhakān hǣng Phrayēsū Čhao .— Dan Beach Bradley 1 มกราคม 2384 (หน้าดั้งเดิม)).
↑ [6.0][6.1] คำว่า “โลก” นั้น ลงการันต์ ในที่สุดอักษรทำทัณฑฆาตกำกับไว้ ว่า ย์ อยู่ทุกแห่ง ว่า “โลกย์” ไม่ใช่มีแต่ในบทที่ ๑ บทนี้
↑ [7] คำว่า “ชีวิต” คำศัพท์ตามเดิมนั้น เขียนว่า “ชีวิตร” มี ร อยู่ร่วมท้ายคำทุกคำ เหมือนคำว่า จิตร เฉพาะในที่นี้ได้ใช้คำว่า ชีวิต แทนทั้งหมด เพราะเห็นว่าเสียงสุดอักษร ด้วย ร อักษรนั้น จะคงไม่ต้องอ่านเสียง อะ กึ่งเสียง จึงได้ตัดออกไป ให้ได้รูปการใช้เป็นคำศัพท์ในสมัย ปัจจุบัน. และอีกประการหนึ่งนั้น ในระหว่างบท ระหว่างขึ้นย่อหน้าและสิ้นจบบทตามย่อหน้าครั้งหนึ่ง ในต้นฉบับใช้สัญลักษณ์ดอกจันสี่แฉกปิดหัวท้ายไว้ทุกที่ ดอกจันนั้น คล้ายๆ อย่างนี้ ✥
↑ [8.0][8.1] คำว่า “มัน” ในหนังสือเดิมนั้นให้เป็น “มั้น” ไปทุกแห่ง ครั้นใช้ตามต้นฉบับนั้นก็ควรเห็นแปลก ผิดไปจากปัจจุบัน จึงไม่ใช้. และตรงนี้ว่า ไตรตราไต่ถาม นั้นเห็นว่า ควรจะเป็น ‘ไคลคลาไถ่ถามกันว่า’
↑ [9] คำศัพท์อย่างเก่า ด้วยคำภาษาไทยคำนี้ ดูไม่แน่ใจนัก คงดูเทียบหนังสือ สัพะ พะจะนะ พาสาไท ว่า (ลาติน) Moderatio, voluntas ว่ามาจาก อาขไศรย. ไปถึงภาษาอังกฤษ ว่า Moderation, will, ถึงคำศัพท์อย่างที่ต่อมาจากลาตินนั้น. และว่า This man is moderate, prudent. โปรดจงเทียบดูจากพจนานุกรม ดังว่านี้ ในหน้า ๓๖. ในชื่อคำไทยอย่างเก่านั้น คำนี้จึงว่า อาชญา ที่มาจากคำว่า อาชญฺปฺติ หรือมิอย่างนั้นก็ต้องคำว่า อาณัติ ที่มาจากคำว่า อาณตฺติ
↑ [10] เวลาตามอย่างเรียก คงจะถือเรียกกันมาตามอย่างโบราณ คำว่า ทุ่ม นั้นเป็นเวลาค่ำ และโมงนั้นเป็นชื่อเรียกเวลากลางวัน ตีหนึ่งหรือหนึ่งทุ่มในบทนี้ ก็คงจะเรียกเหมือนกัน แต่ในเวลาดังกล่าวคงหมายถึงเวลาใน ๑ นาฬิกา ตามเวลาที่เลยหลังเที่ยงคืนมานั้น
↑ [11] ที่ในบทอื่น ว่า มาเรีย มักดาลา ในที่นี้ว่า มักตาลา
↑ [12] ซึ่งว่า ศพ นั้น ใช้คำว่า สภ และคำว่า เพชโรนั้นในบทนี้ ว่าเป็น เพชโตร